‘พิธา’ ฝ่าดิจิทัลสึนามิ บนความท้าทายใหม่แกร็บ
การตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองจากการดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีอีโอ อกริฟู้ด
โดย ณัฏฐ์ธยาน์ สุทธิเจริญ
การตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองจากการดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีอีโอ อกริฟู้ด บริษัทผลิตน้ำมันรำข้าวที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ ซึ่งเป็นบริษัทของครอบครัว มานั่งเป็นทีมบริหารให้แก่สตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นจากมาเลเซียอย่างแกร็บ (GRAB) ผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะนั้น ถือว่าเป็นความท้าทายใหม่ที่น่าสนใจ
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กรรมการบริหาร แกร็บ ประเทศไทย เล่าให้ฟังว่า หลังจากทำธุรกิจครอบครัวจนอยู่ตัวแล้ว ก็เริ่มมองหาสิ่งท้าทายใหม่ๆ ซึ่งแกร็บถือว่าเป็นธุรกิจที่ดี สร้างประโยชน์ให้กับประเทศในเรื่องการโดยสารที่มีความปลอดภัย
การตัดสินใจมาทำแกร็บนั้น เพราะเชื่อว่าจะสนับสนุนตลาดแชริ่งให้คนในประเทศมีการเรียนรู้มากขึ้น ทั้งเรื่องการใช้นวัตกรรมและการแบ่งปัน ซึ่งนอกจากความต้องการในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานแล้ว คนไทยยังต้องการความรู้ด้านเทคโนโลยี และความสามารถด้านไอทีจากต่างประเทศ เพื่อมาเปลี่ยนประเทศ
แม้ว่าบริการไรด์แอนด์แชร์ (Ride & Share) ในไทยจะยังไม่ได้ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ในแง่ของกฎหมาย แต่เรื่องของการใช้งานต้องยอมรับว่าคนไทยมีความเข้าใจและกล้าใช้งานมากขึ้น ด้วยความสะดวกสบาย ตอบโจทย์ในแง่ของการเดินทางร่วมกัน เส้นทางเดียวกัน
หากภาครัฐมีการปรับตัวยอมรับในเรื่องของประโยชน์ในการช่วยให้การเดินทางสะดวกขึ้น ลดปัญหาการเดินทางแบบรถยนต์คนละคันได้ จะช่วยลดมลภาวะในประเทศได้ดีขึ้น
"เราพูดคุยเรื่องนี้กับภาครัฐประจำ เพื่อผลักดันให้มีการปรับเปลี่ยนกฎหมายที่เหมาะสม แต่อาจต้องใช้เวลาซึ่งเรายินดีที่จะรอ"
หากย้อนถึงเส้นทางการทำงานของพิธานั้น ต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนรุ่นใหม่อนาคตไกล นอกจากจะนำธุรกิจของครอบครัวรุ่งเรือง จนได้รับรางวัลผู้ประกอบการยอดเยี่ยม APEA Entrepreneur ของประเทศไทยในปี 2558 แล้ว เขายังมีความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนในการเป็นหนึ่งในคณะทำงานของสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ภายใต้การบริหารงานของ สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสํานักนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ ยังเคยดํารงตําแหน่งผู้ช่วยคณะกรรมการฝ่ายการต่างประเทศของคณะรัฐบาลไทยในระหว่างปี 2556-2557 รวมถึงการเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี กระทรวงอุตสาหกรรม ระหว่างปี 2555-2556 ด้วย
ไม่ใช่ว่าจะมีประสบการณ์เฉพาะทำงานกับภาครัฐเท่านั้น ด้านองค์กรเอกชน พิธาเคยร่วมงานกับบริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ริล ลินช์ ภัทร ธุรกิจด้านเงินทุนหลักทรัพย์ บริการข้อมูลเกี่ยวกับการเงิน การลงทุน และบอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป บริษัทที่ให้บริการทางด้านธุรกิจที่ปรึกษา การบริหารงาน บริหารโครงการต่างๆ
ทางด้านการศึกษา พิธาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี 2548 ระดับปริญญาโท ด้านนโยบายสาธารณะ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ควบบริหารธุรกิจ จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (เอ็มไอที) ในปี 2555 และที่นี่เองที่ทำให้เขาได้พบกับ แอนโทนี ตัน ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งแกร็บ ซึ่งเป็นเพื่อนเรียนฮาร์วาร์ดร่วมรุ่นกันในขณะนั้น
เขาได้เล่าถึงการตัดสินใจให้ฟังว่า การที่รัฐบาลพูดถึงเรื่องไทยแลนด์ 4.0 และในอนาคตอีก 10 ปีเทคโนโลยีจะเข้ามาเปลี่ยนประเทศได้อย่างไร จากสมัยก่อนที่เป็นยุคของแบล็คเบอร์รี่ โนเกีย มาถึงตอนนี้กลายเป็นยุคที่ไม่ใช่แค่ไอโฟน แต่มีเอไอ บล็อกเชนและดิจิทัลอีกมากที่คนต้องตามให้ทัน ซึ่งการเลือกทำงานที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัล อีโคโนมี จะช่วยให้ทราบว่าโลกก้าวไปถึงจุดใดแล้ว
"ผมไม่อยากตกยุค ไม่อยากจะเจอดิจิทัลสึนามิจนตามเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ทัน"
นอกจากนี้ พิธายังมองว่า การที่เขามาทำแกร็บ จะช่วยผสมผสานระหว่างธุรกิจระดับโลกมาปรับใช้กับประเทศอย่างเหมาะสม
การทำงานสตาร์ทอัพก็เหมือนฟรีแลนซ์ การดึงแท็กซี่ ซึ่งมีรายได้อิสระเข้ามาในระบบเทคโนโลยี นอกจากจะช่วยสอนให้เขารู้จักการทำงานของแอพแล้ว ยังสอนให้ผู้ขับเหล่านี้ให้รู้จักใช้เทคโนโลยีอีกหลายอย่าง ทั้ง โซเชียลมีเดีย เพย์เมนต์ รวมทั้งสร้างให้คนกลุ่มนี้มีตัวตนบนโลกออนไลน์ตามความต้องการของภาครัฐ ซึ่งแกร็บเพิ่มเรื่องของสวัสดิการเข้าไป เพื่อดึงดูดใจให้เขารู้สึกว่า การทำงานในโลกดิจิทัลก็มีประโยชน์ไม่แพ้ทำงานบริษัทและอิสระในเรื่องของเวลา
"ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากทำงานด้านนี้ให้นานที่สุด หากผมยังมีคุณค่ากับบริษัท เพราะผมอยากทำสิ่งที่ให้ประโยชน์ ไม่ใช่กับแค่ผมเอง แต่เป็นประโยชน์กับครอบครัวไปจนถึงประเทศชาติด้วย" พิธา กล่าว
นอกจากนี้ พิธา ยังเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ที่ได้เข้าไปเป็นหนึ่งในทีมหาเสียงของอดีตประธานาธิบดี บารัก โอบามา ให้ฟังว่า
สมัยเรียนฮาร์วาร์ด ผมเคยเป็นทีมช่วยหาเสียงของโอบามาที่บอสตัน ก็เลยเข้าใจรูปแบบของการใช้เครื่องมือโซเชียลมีเดียมาใช้ในการหาเสียงมาบ้าง โดยเมื่อ 9 ปีก่อน ตอนนั้นเป็นยุคเริ่มต้นของเฟซบุ๊ก ก็มีการขอให้ประชาชนช่วยระดมทุนคนละ 1,000 บาท ในการสนับสนุนนโยบาย เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมและมีการใช้เฟซบุ๊กมาช่วยในการโหวตเลือกประธานาธิบดีด้วย
การที่สหรัฐอเมริกากล้าที่จะนำโซเชียลมีเดียเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องคนไม่มาเลือกตั้งและเลือกได้อย่างปลอดภัยนั้น ถือว่าเป็นเครื่องมือที่น่าสนใจ ยิ่งไทยเป็นประเทศที่ประชากรเฟซบุ๊กสูงไม่แพ้จำนวนคนทั้งประเทศ อาจเพราะตอนนั้นเฟซบุ๊กยังไม่บูมเท่าตอนนี้ จึงสามารถทำได้และไม่ต้องกังวลเรื่องการขโมยข้อมูล
ส่วนการเดินหน้าประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีนั้น พิธา มองว่า นโยบายและแนวทางเป็นไปได้ดี ซึ่งรองนายกฯ และกระทรวงดีอีก็เข้าใจในปัญหาทุกอย่าง ทั้งเรื่องการสนับสนุนสตาร์ทอัพหรือดึงทักษะคนต่างชาติเข้ามาช่วยเดินหน้าประเทศด้วยเทคโนโลยี ซึ่งตัวเขาเองก็สนับสนุน และพร้อมเข้าไปช่วยเป็นส่วนหนึ่งที่จะผลักดันให้คนไทยนำเครื่องมือดิจิทัลต่างๆ ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันมากกว่านี้
ก็หวังว่าการที่ผู้บริหารหนุ่มใหม่ไฟแรงเข้าไปนั่งในองค์กรระดับโลกน่าจะช่วยหนุนให้คนไทยรู้จักใช้เทคโนโลยีดีขึ้นและเกิดประโยชน์กับภาพรวม คุ้มค่ากับที่เสียบุคลากรชั้นนำไปให้บริษัทต่างชาติ


