งักฮุย ปาท่องโก๋ กับวลี ‘อาจจะมีก็ได้’
ชาวไทยคุ้นชื่องักฮุยดี... เพราะชื่อนี้มีตำนานโศกนาฏกรรมเกี่ยวกับกำเนิดปาท่องโก๋
ชาวไทยคุ้นชื่องักฮุยดี... เพราะชื่อนี้มีตำนานโศกนาฏกรรมเกี่ยวกับกำเนิดปาท่องโก๋
งักฮุยอยู่ในยุคสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ เหตุที่ราชวงศ์นี้เกิดขึ้นเพราะราชวงศ์ซ่งถูกอาณาจักรจินทางเหนือยกทัพเข้ารุกราน แถมฮ่องเต้ราชวงศ์ซ่งยังถูกกองทัพจินจับไปเป็นตัวประกันติดกันถึงสองพระองค์ จนต้องย้ายมาตั้งเมืองหลวงในดินแดนทางใต้
ราชวงศ์ซ่งก่อนย้ายเมืองหลวง จึงถูกเรียกว่าซ่งเหนือ ส่วนยุคต่อมาเรียกว่าซ่งใต้
งักฮุยเติบโตมาในบรรยากาศของชาติที่กำลังล่มสลาย น่าอับอาย แต่เขากลับคิดตั้งปณิธานหวัง กอบกู้ดินแดนที่เสียไปกลับคืนมา
มารดาของงักฮุยยังยินดีอยากให้ลูกได้เป็นทหารได้ต่อสู้เพื่อชาติเป็นอย่างยิ่ง งักฮุยจึงสมัครเข้าเป็นทหารและไต่เต้าขึ้นมาเป็นแม่ทัพอย่างรวดเร็วด้วยวัยเพียง 32 เป็นแม่ทัพทั้งที่หนุ่มแน่นที่สุดแห่งยุค และทัพ ของงักฮุยก็มีผลงานจับต้องได้ โดยสามารถเอาชนะกองทัพจินได้หลายต่อหลายครั้ง จนกลายเป็นกองทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน
เพราะงักฮุยใช้สติปัญญาในการทำสงคราม
อาณาจักรจินมีกองทัพที่เกรียงไกรทัพหนึ่ง ซึ่งเอาชนะได้ยาก ชื่อว่ากองกำลัง "เจดีย์เหล็ก" กองกำลังเจดีย์เหล็กคือทัพทหารม้าหุ้มเกราะหนักทั้งทหารและตัวม้า เมื่อนำมาเป็นทัพหน้า กระนาบด้วยปีกกองทัพม้าเกราะเบา กองกำลังเจดีย์เหล็กมีพลานุภาพไม่ต่างจากทีมรถถังหุ้มเกราะ แทบไม่มีจุดอ่อนใดให้ทำลาย
งักฮุยแก้เกมด้วยทหารราบกองหนึ่ง พร้อมอาวุธ "ดาบสังหารม้า" ซึ่งเป็นอาวุธที่พัฒนาจากดาบให้ใบดาบใหญ่ขึ้น มีด้ามจับยาวมากขึ้นจนสามารถใช้สองมือจับได้แน่นหนา เมื่อเผชิญกับทัพเจดีย์เหล็ก ทหารราบกองนี้จะเล็งฟันไปที่ขาม้า ซึ่งเป็นจุดเดียวที่ไม่มีเกราะหุ้ม เมื่อม้าเกราะเหล็กกระบวนหน้าเสียหลักล้มลง ทหารม้าที่เหลือก็ระส่ำระสาย จนสามารถทำลายกระบวนได้ทั้งหมด
ไม่ใช่แค่สติปัญญา งักฮุยยังใช้วินัยและอุดมการณ์ชัดเจนในการควบคุมกองทัพ
นอกเหนือจากวินัยในการฝึกซ้อม กองทัพของงักฮุยยังมีวินัยที่เข้มงวดในการปฏิบัติตัวต่อชาวบ้าน งักฮุยรู้ว่าชาวบ้านจีนที่อยู่ในดินแดนที่กองทัพสู้รบยื้อแย่งแผ่นดินกลับมาย่อมตกอยู่ในภาวะยากลำบาก เพราะกองทัพมักต้องการทรัพยากรจากรายทาง ฉะนั้นงักฮุยจึงตั้งกฎเข้ม "ห้ามเบียดเบียนชาวบ้าน"
กองทัพของงักฮุยผ่านไปหมู่บ้านใดก็จะตั้งค่าย ริมทาง แม้ชาวบ้านจะเชิญให้เข้าไปพักในบ้านก็ไม่ยินยอม
ว่ากันว่าครั้งหนึ่ง ทหารในกองทัพงักฮุยถือวิสาสะหยิบเอาเชือกปอของชาวบ้านมาใช้มัดฟืน งักฮุยรู้เข้าจึงสั่งตัดหัวทหารผู้นั้น กองทัพของงักฮุยคือกองทัพที่ "แม้หนาวตายก็ไม่ขอเบียดบังชาวประชา แม้อดตายก็ไม่ขอทำตัวเยี่ยงโจร" เป็นกองทัพที่เห็นหัวชาวบ้าน อันที่จริงเรียกว่าเห็นใจชาวบ้านเลยจะเหมาะสมที่สุด
ความเข้มงวดในวินัยทั้งหมดเป็นเพราะมีอุดมการณ์อยู่เบื้องหลัง นั่นคือทำศึกทวงแผ่นดินเพื่อให้ชาวจีนหลุดพ้นจากสภาวะประชาชนชั้นสองใต้อำนาจชนเผ่าจิน คืนความสุขให้ชาวแผ่นดินซ่ง มิใช่ทวงคืนแผ่นดินเพียง เพราะเพื่อให้ได้ดินแดนกลับคืนมา
เพราะอาณาจักรคือปวงประชา มิใช่เพียงแค่พื้นที่ดิน...
ชีวิตส่วนตัวของงักฮุยยังน่านับถือเช่นกัน เขาไม่โลภโมโทสัน ครั้งหนึ่งฮ่องเต้ถามเขาว่าทำอย่างไรให้บ้านเมืองสงบสุข งักฮุยตอบว่า "ถ้าขุนนางบุ๋นไม่เห็นแก่เงิน ขุนนางบู๊ไม่กลัวตาย ก็ไม่ต้องกลัวว่าบ้านเมืองจะไม่สงบสุข"
งักฮุยทำได้ทั้งสองอย่าง เขาไม่เคยเห็นแก่เงิน และเขาไม่เคยกลัวตาย โดยเฉพาะถ้าจะตายในสนามรบ
ไม่เพียงตัวเขาทำได้เท่านั้น งักฮุยยังบอกกล่าวทุกคนในครอบครัวให้ทำด้วย ชีวิตครอบครัวของแม่ทัพ งักฮุยที่กุมกองกำลังใหญ่ที่สุดในยุคนั้น กิน นอน ใช้ชีวิตไม่เกินมาตรฐานชาวบ้านทั่วไป
ชีวิตภรรยาแม่ทัพงักฮุยไม่ต่างจากภรรยาชาวบ้าน ทำงานบ้านงานเรือนเอง ไม่ได้ยักยอกนายทหารเกณฑ์มาเป็นคนรับใช้ส่วนตัว
ครั้งหนึ่งงักฮุยได้พระราชทานบำเหน็จรางวัลจากองค์ฮ่องเต้ ภรรยาของงักฮุยนำแพรพรรณที่ได้พระราชทานมาสวมใส่ คิดว่าเพื่อเป็นวันดีๆ วันหนึ่ง งักฮุยรู้เข้าก็โกรธมาก ว่ากล่าวภรรยาว่า ฮองไทเฮา และฮองเฮาองค์ก่อนของราชวงศ์ซ่งยังถูกจับเป็นตัวประกันอยู่ ไม่รู้ว่าจะลำบากทุกข์ร้อน โดนดูหมิ่นดูแคลนขนาดไหน ในฐานะภรรยาของแม่ทัพราชวงศ์ซ่ง จะมาสวมใส่แพรพรรณเช่นนี้ไม่สมควรอย่างแรง
ภรรยาของงักฮุยเมื่อได้ฟังคำอธิบายก็เข้าใจ เปลี่ยนชุดกลับไปเป็นชุดผ้าที่ชาวบ้านสวมใส่ดังเดิม
เขาเข้มงวดกับชีวิตส่วนตัว ครอบครัว เช่นเดียวกันกับที่เข้มงวดกับกองทัพ
ครั้งหนึ่งลูกชายงักฮุยร่วมซ้อมรบ กระบวนทัพม้าควบลงเนินชัน ลูกชายงักฮุยบังคับม้าผิดพลาดล้มทั้งม้าทั้งคน ทำให้ทหารม้าคนอื่นล้มเสียกระบวนตามกันไป งักฮุยสั่งลงโทษลูกชาย ไม่มากไม่น้อยไปกว่าโทษที่นายทหารคนอื่นกระทำผิด โดยไม่มีอารมณ์ของความเป็นพ่อลูกมาเจือปน
ทั้งหมด ทำให้กองทัพของงักฮุยเป็นที่รักของชาวบ้าน งักฮุยเคลื่อนทัพไปที่ใดชาวบ้านก็คอยช่วยเหลือจัดหาเสบียงในแนวหลัง
ชีวิตงักฮุยต้องพบกับโศกนาฏกรรม เมื่อกำลังจะได้ชัยชนะและทวงแผ่นดินคืนได้ แต่ฮ่องเต้กลับไม่อยากทำสงครามกับพวกจินอีกต่อไป กองทัพงักฮุยจึงถูกฮ่องเต้เรียกตัวกลับ ด้วยการส่งป้ายทองคำสั่ง 12 ครั้ง รัวๆ
นักวิชาการบางคนอธิบายว่า เพราะฮ่องเต้ไม่อยากให้เขาช่วยฮ่องเต้องค์เดิมกลับมาทำบัลลังก์ของตนสั่นคลอน บางคนอธิบายว่าเพราะอำมาตย์ใหญ่ฉินฮุ่ยรับสินบนจากอาณาจักรจินให้เกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ให้สงบศึก และยังมีคำอธิบายอีกหลายทฤษฎี
ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลใด อาณาจักรจินยื่นคำขาดมาว่างักฮุยต้องตายเท่านั้นถึงเปิดโต๊ะเจรจากันต่อได้ ราชสำนักจึงต้องยัดเยียดข้อหา และข้อหาที่ราชสำนักใช้คือข้อหากบฏ
แต่จะขุดคุ้ยหาความด่างพร้อยทางวินัยของงักฮุย อย่างไรก็หาไม่เจอ จะบังคับให้เซ็นชื่อรับสารภาพงักฮุยย่อมไม่ยินยอม และพร้อมอดอาหารประท้วง จนเพื่อนแม่ทัพของงักฮุยทนไม่ได้ เข้าไปถามหาความยุติธรรมจากอำมาตย์ฉินฮุ่ยว่าไม่มีหลักฐานจะตัดสินประหารงักฮุยด้วยความผิดอะไร ฉินฮุ่ยตอบมาว่า "อาจจะมีก็ได้"
แล้วงักฮุยนายทหารที่ไม่ระวังระแวงการเมืองเรื่องอำนาจและผลประโยชน์ส่วนตัวก็ต้องโดนประหารด้วยหลักฐานที่ "อาจจะมีก็ได้"
ภายหลังคำว่า "อาจจะมีก็ได้" ในภาษาจีนกลายเป็นคำประชดประชันที่หมายถึงการให้ร้ายคนอื่นโดยไม่มีหลักฐาน
ไม่ว่าฉินฮุ่ยจะมีจิตคิดเจตนาร้ายต่องักฮุยเองโดยตรง หรือจะเป็นบัญชาจากเบื้องบน หรือเพียงเพราะออกสื่อไม่เก่ง หรือไม่เห็นหัวประชาชนก็ตาม แต่คนตำแหน่งใหญ่โตพูดออกมาว่าว่า "อาจจะมีก็ได้" ย่อมต้องมาพร้อมความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่
ผู้คนเคียดแค้นในตัวฉินฮุ่ยพ่วงไปถึงภรรยา คิดหาทางระบายความชิงชังผู้มีอำนาจด้วยการปั้นแป้งมาประกบคู่กันแล้วสมมติว่าเป็นตัวฉินฮุ่ยและภรรยา ลงทอดในน้ำมันแล้วเอาขึ้นมากัดกินให้สะใจ
และนี่คือตำนานกำเนิดขนมที่บ้านเราเรียกว่าปาท่องโก๋...
คิดไปการระบายออกซึ่งความเคียดแค้นก็ไม่ต่างจากวิธีตัดต่อรูปต่างๆ นานามาระบายแค้นแชร์กันในสื่อโซเชียลยุคนี้เท่าไรนัก แต่ปาท่องโก๋น่าจะถ่ายทอดได้ผลมากกว่า จึงทอดกันมาเนิ่นนานเกือบพันปี
งักฮุยถูกจดจำไม่ใช่เพียงเพราะเขาเป็นแม่ทัพที่เก่งกล้า รักชาติ มีสติปัญญา มีวินัย รักประชาชน แต่สิ่งที่ทำให้ถูกจดจำฝังลึกเข้าไปในใจผู้คน คือแม่ทัพ งักฮุยต้องตายอย่างไร้ความเป็นธรรม ตายในสถานการณ์ที่ไม่ควรต้องตาย โดยมีหลักฐานความผิดของทางการออกมาแค่ว่า "อาจจะมีก็ได้" n


