ซื้อแพ็กเกจ ถ่ายรูป ขอคืนได้มั้ย?
เดี๋ยวนี้การจัดงานแต่งงานแต่ละครั้งต้องใช้เงินจำนวนมากในการจัดเตรียมงาน ตั้งแต่ค่าสถานที่ ค่าชุดเจ้าบ่าว-เจ้าสาว รวมทั้งพวกค่าแพ็กเกจถ่ายภาพแต่งงานที่มีราคาค่อนข้างสูง ตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสน เพราะเป็นราคาที่คิดรวมทั้งค่าเสื้อผ้า ค่าช่างแต่งหน้าทำผม และค่าช่างภาพ ค่าล้างอัดรูปภาพเพื่อนำมาใช้งาน
เดี๋ยวนี้การจัดงานแต่งงานแต่ละครั้งต้องใช้เงินจำนวนมากในการจัดเตรียมงาน ตั้งแต่ค่าสถานที่ ค่าชุดเจ้าบ่าว-เจ้าสาว รวมทั้งพวกค่าแพ็กเกจถ่ายภาพแต่งงานที่มีราคาค่อนข้างสูง ตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสน เพราะเป็นราคาที่คิดรวมทั้งค่าเสื้อผ้า ค่าช่างแต่งหน้าทำผม และค่าช่างภาพ ค่าล้างอัดรูปภาพเพื่อนำมาใช้งาน
การซื้อแพ็กเกจถ่ายภาพงานแต่งงานส่วนใหญ่ต้องมีการจ่ายเงินค่ามัดจำล่วงหน้า ที่ผ่านมาเคยมีเรื่องร้องเรียนเข้ามาที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กรณีที่ตกลงซื้อแพ็กเกจถ่ายภาพงานแต่ง พร้อมทั้งจ่ายเงินมัดจำล่วงหน้าไปเป็นที่เรียบร้อย ก่อนถึงวันจัดงานมีเหตุจำเป็นต้องยกเลิกงานแต่งงาน จึงอยากขอคืนเงินมัดจำ แต่ถูกทางบริษัทรับถ่ายภาพปฏิเสธการคืนเงิน จึงได้นำเรื่องมาปรึกษากับทางศูนย์เพื่อหาทางแก้ไขปัญหา
โดยผู้ร้องได้ให้รายละเอียดว่า ได้เลือกใช้บริการถ่ายภาพและเช่าชุดงานแต่งงานกับบริษัทแห่งหนึ่ง หลังจากตกลงราคากันเป็นที่เรียบร้อย ผู้ร้องได้จ่ายค่ามัดจำด้วยบัตรเครดิตเป็นจำนวนเงินเกือบ 4 หมื่นบาท แต่ภายหลังได้เกิดปัญหากับผู้ร้องจนต้องเลื่อนการจัดงานแต่งงานออกไป ผู้ร้องต้องการยกเลิกสัญญาการถ่ายภาพและเช่าชุดแต่งงาน แต่ไม่สามารถตกลงกับบริษัทได้
สำหรับการแก้ปัญหาในกรณีนี้ ทางศูนย์พิทักษ์สิทธิ ได้ชี้แจงกับผู้ร้องว่า การจ่ายเงินมัดจำเป็น การให้คำมั่นว่าจะมีการทำตามที่ตกลงในสัญญา หากผู้ร้องขอยกเลิกสัญญาเอง โดยที่บริษัทไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา บริษัทมีสิทธิริบ เงินมัดจำได้ อย่างไรก็ตามในกรณี นี้ผู้ร้องได้จ่ายค่ามัดจำด้วยบัตรเครดิตไปแล้วเกือบ 4 หมื่นบาท ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของราคาทั้งหมด ดังนั้นอาจเป็นการจ่ายเงินมัดจำสูงเกินไป ซึ่งตาม พ.ร.บ.ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม กำหนดว่าสามารถลดลงได้เท่าที่เสียหายจริง
ในเบื้องต้น ศูนย์พิทักษ์สิทธิ จึงแนะนำให้ผู้ร้องแจ้งระงับการจ่ายเงินกับธนาคารของบัตรเครดิตก่อน จากนั้นให้ทำหนังสือขอยกเลิกสัญญาและขอเงินมัดจำคืน โดยให้บริษัทสามารถหักค่าเสียหายได้เท่าที่เสียหายจริง รวมทั้งเชิญให้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยที่มูลนิธิฯ
ภายหลังการเจรจาพบว่าบริษัทแจ้งรายละเอียดค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เสียไปแล้วจำนวนกว่า 2 หมื่นบาท หากยกเลิกสัญญาจะต้องหักจากเงินมัดจำ แต่ผู้ร้องไม่ยินยอม เพราะเห็นว่าเป็นการเอาเปรียบมากเกินไป พร้อมเสนอให้หักเพียง 5,000 บาท ทางบริษัทจึงขอนำกลับไปพิจารณา และแจ้งกลับมาภายหลังว่ายินดีทำตามข้อเสนอของผู้ร้อง แต่จะคืนเงินให้หลังจากที่ขายแพ็กเกจดังกล่าวให้ลูกค้าคนอื่นได้แล้ว ซึ่งผู้ร้องยินดีและขอยุติการร้องเรียน


