ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง สร้างฐานะการเงินให้มั่นคง
ดร.ฉัตรพงศ์ วัฒนจิรัฏฐ์ ผู้บริหารงานพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล K-Expert ธนาคารกสิกรไทย จากการสนทนากับผู้ที่อยู่ในวงการแก้หนี้บัตรเครดิต ทราบว่าปัญหาหนี้ล้นพ้นตัวมักเกิดจากความต้องการใช้เงินเกินระดับที่ตนเองสามารถหา ซึ่งเป็นประเด็นด้านพฤติกรรมส่วนบุคคล มากกว่าการประสบเคราะห์กรรมทำให้ต้องเสียเงินก้อนใหญ่ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ควบคุมไม่ได้
ดร.ฉัตรพงศ์ วัฒนจิรัฏฐ์ ผู้บริหารงานพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล K-Expert ธนาคารกสิกรไทย
จากการสนทนากับผู้ที่อยู่ในวงการแก้หนี้บัตรเครดิต ทราบว่าปัญหาหนี้ล้นพ้นตัวมักเกิดจากความต้องการใช้เงินเกินระดับที่ตนเองสามารถหา ซึ่งเป็นประเด็นด้านพฤติกรรมส่วนบุคคล มากกว่าการประสบเคราะห์กรรมทำให้ต้องเสียเงินก้อนใหญ่ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ควบคุมไม่ได้
พฤติกรรมใช้จ่ายเกินตัวนี้อาจทำให้จบชีวิตการเงินได้ภายในเวลาไม่เกินหกเดือน เริ่มต้นจากการเป็นหนี้ก้อนแรกด้วยการใช้บัตรกดเงินสดหรือเลือกผ่อนชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำแทนการจ่ายเต็มจำนวน
เกิดเป็นภาระดอกเบี้ยจ่ายที่จะรอเรียกเก็บในรอบการชำระเงินถัดไป หากเดือนต่อมาพฤติกรรมยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ก็จะมียอดหนี้ก้อนใหม่พร้อมกับจำนวนดอกเบี้ยจ่ายที่มากกว่าเดิม
ระยะเวลาจะดำเนินไปจนเงินสดเริ่มขาดมือ ไม่สามารถผ่อนชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยก้อนเก่าไหว จึงหันมาใช้สินเชื่อส่วนบุคคล หรือเงินด่วนจากสถาบันการเงินอื่นๆ เพื่อซื้อเวลารักษาสถานะหนี้คงค้างให้เป็นปกติ จังหวะนี้ผู้เป็นหนี้มักเริ่มคิดจะหยุดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
แต่ด้วยมีความจำเป็นในการดำรงชีพและภาระหนี้ที่ต้องผ่อนแต่ละเดือน ทำให้ไม่สามารถหยุดยั้งผลกระทบนี้ได้ สุดท้ายก็ต้องตกในภาวะเครียดจากการถูกทวงถามหนี้ และเดินเข้าสู่กระบวนการพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายไป
การป้องกันภัยการเงินรวมทั้งการฟื้นฟูสถานะของตนเอง ก็จำต้องพึ่งพาปรัชญา "เศรษฐกิจพอเพียง" ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระราชทานไว้ ด้วยมุ่งหวังให้ประชาชนของพระองค์พึ่งพาตนเองและดำรงอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี หลักใหญ่ของเศรษฐกิจพอเพียงคือ พอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี
ความ "พอประมาณ" สอนให้เราใช้จ่ายตามความเหมาะสมกับฐานะ กล่าวคือควบคุมการใช้จ่ายไม่ให้เกินกำลังของตนเอง ขณะเดียวกันก็ไม่ขี้เหนียวเกินไปจนทำให้ตนเองไม่มีความสุข การเดินทางสายกลางนี้เองเป็นแก่นที่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงยึดถือ
การจะเปลี่ยนจากเดิมที่ใช้จ่ายเกินตัวมาเป็นใช้จ่ายพอประมาณนั้น ก็ต้องอาศัยความ "มีเหตุผล" เป็นตัวกำกับ
ดังที่ท่านได้ทรงแนะนำให้ทำบัญชีครัวเรือน เพื่อจะได้ทราบว่ารายรับมาจากไหนจำนวนเท่าไหร่ และมีรายจ่ายเรื่องใดมากน้อยเพียงใด แล้วนำข้อมูลมาเป็นแนวทางปรับปรุงพฤติกรรม ให้ใช้จ่ายในเรื่องที่จำเป็นมากและลดการใช้จ่ายในเรื่องที่ไม่จำเป็นหรือจำเป็นน้อย จัด ลำดับความสำคัญก่อนหลัง
วลีหนึ่งที่การวางแผนการเงินใช้บ่อยคือ "need to have or want to have" หมายถึงให้เราถามตนเองก่อนว่า ความต้องการใช้จ่ายนั้นเราได้ไตร่ตรองแล้วว่าจำเป็นต้องมีหรือเพียงแค่รู้สึกอยากได้เฉยๆ
ในกรณีที่อยู่ในสถานการณ์จะใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ เทคนิคหนึ่งที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เราทำตามอารมณ์คือ "การดึงเวลา" ด้วยการทยอยเก็บออมเงินแต่ละสัปดาห์หรือแต่ละเดือนแทนการก่อหนี้ในทันที
เพราะในขณะที่กำลังออมนั้น เราจะมีเวลาในการตัดสินใจโดยปราศจากสิ่งกระตุ้นที่อยู่ตรงหน้า นอกจากนี้ การออมช่วยลดจำนวนภาระหนี้ที่จะขอกู้ ช่วยให้ป้องกันตัวจากการเป็นหนี้โดยไม่จำเป็น สอดคล้องกับเรื่องความ "มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี"
การเริ่มสร้างฐานะการเงินที่มั่นคงตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสามารถทำได้ 3 ประการ
ประการแรก คือ ใช้จ่ายให้พอประมาณ โดยหลักการวางแผนการเงินแนะนำให้ควบคุมการใช้จ่ายไม่ให้เกิน 80% ของรายได้ หรืออีกนัยหนึ่งให้คงเหลือเป็นเงินออม 20% ขึ้นไป หากจำเป็นต้องก่อหนี้ก็ควรคุมไม่ให้มีภาระการผ่อนต่อเดือนเกินกว่า 30% ของรายได้
บางท่านก็ใช้วิธีกำหนดงบด้วยการแบ่งเงินเป็นสามส่วน ได้แก่ ค่าใช้จ่ายประจำ ค่าใช้จ่ายทั่วไป และเงินเก็บ ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้ใช้จ่ายจนหมดเงินออม
บางท่านก็ใช้วิธีจัดเงินสดเข้ากระเป๋าให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายหนึ่งวัน อาจจะหนึ่งร้อยบาทบ้างหรือสองร้อยบาทบ้างก็แล้วแต่ พอสิ้นวันก็มาดูว่าเหลือเท่าไหร่เพื่อนำเงินที่เหลือไปสะสม พร้อมหยิบเงินก้อนใหม่ใส่กระเป๋าสำหรับใช้จ่ายวันรุ่งขึ้น การจำกัดจำนวนเงินในกระเป๋าช่วยลดโอกาสการใช้จ่ายเกินงบได้เป็นอย่างดี
ประการที่สอง คือ ใช้จ่ายอย่างมีเหตุผล การมีสติไตร่ตรองเป็นจะช่วยลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยลงได้ ทั้งนี้ ผมอยากแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่สมัยใหม่ได้ขยายเรื่องการใช้จ่ายอย่างมีเหตุผลนี้ไปยังบุตรหลานด้วย
บ่อยครั้งที่เด็กร้องขอแล้วผู้ปกครองก็มักใจอ่อนซื้อให้เพื่ออยากให้ลูกมีความสุข แต่กลับกลายเป็นทำให้เด็กเสียนิสัยเพราะได้ของมาง่ายๆ
ในทางกลับกัน การให้เด็กรู้จักเก็บออมเองด้วยเงินค่าขนมที่เราให้และสอนให้เห็นค่าของเงินที่พ่อแม่ทำงานหามา จะเป็นการฝึกให้เด็กรู้จักอดทนรอคอย เห็นคุณค่าของสิ่งของ รวมทั้งเคารพบุคคลรอบข้าง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ควรมี
ประการสุดท้าย คือ ออมเงินและทำอย่างมีเป้าหมาย การตั้งเป้าหมายนี้ไม่จำเป็นว่าต้องกำหนดเป็นเงินก้อนในอีกหลายเดือนหรือหลายปีข้างหน้า แต่ทำแบบง่ายๆ
เช่น จะออมวันละ 100 บาท หรือจะออมก่อนใช้ 5,000 บาทในวันเงินเดือนออก เป็นต้น เหตุที่ให้กำหนดก็เพราะการทำอะไรแบบไม่มีเป้าหมายก็จะขาดแรงจูงใจ เข้าทำนองว่าทำไปก็ไม่เกิดอะไรและไม่ทำก็ไม่มีผลอะไร
สุดท้ายนี้ผมขออัญเชิญพระราชดำรัสซึ่งท่านได้ให้ไว้เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2559 ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ว่า
"...การประหยัดอดออม เป็นรากฐานในการสร้างตัว สร้างฐานะของบุคคล ตลอดจนความเจริญมั่งคงของสังคม และชาติบ้านเมือง..."
ผมเชื่อว่าเมื่อมีเงินออมแล้ว เรื่องดีๆ ก็จะตามมา


