อายุ 60 แล้ว แต่ไม่ยอมเกษียณเพราะ…?
โดย วารุณี อินวันนา ชีวิตการทำงานของลูกจ้างส่วนใหญ่เมื่อครบ 55 ปี หรือ 60 ปี จะต้องถึงเวลาเกษียณอายุการทำงาน เพราะถูกเลิกจ้างตามกฎหมาย หากเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว ถือโอกาสอายุ 60 ปี ถอนตัวออกจากการทำงาน แล้วให้ลูกหลานมารับช่วงต่อ เพื่อใช้เวลาที่เหลือในการพักผ่อน ฟื้นฟูสุขภาพ
โดย วารุณี อินวันนา
ชีวิตการทำงานของลูกจ้างส่วนใหญ่เมื่อครบ 55 ปี หรือ 60 ปี จะต้องถึงเวลาเกษียณอายุการทำงาน เพราะถูกเลิกจ้างตามกฎหมาย หากเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว ถือโอกาสอายุ 60 ปี ถอนตัวออกจากการทำงาน แล้วให้ลูกหลานมารับช่วงต่อ เพื่อใช้เวลาที่เหลือในการพักผ่อน ฟื้นฟูสุขภาพ
แต่สำหรับ วิรัตน์ สมัครพงศ์ ที่จะวัยจะครบ 68 ปีในเดือน ธ.ค.นี้ หรือที่คนทั่วไปรู้จักในชื่อ ครูรัตน์ เกษียณสุข ได้กลับเข้าสู่การทำงานอีกครั้ง หลังใช้ชีวิตเกษียณ 3 ปี เพราะเกิดจากอาการเซ็ง
"เดิมในความเห็นของผม คำว่าเกษียณ หมายถึงการพักผ่อน คือ อยู่บ้าน นอนสบาย ไม่ต้องทำอะไร ใช้ ชีวิตลั้นลา สังสรรค์กับเพื่อน ไปเที่ยว ผมก็ใช้ชีวิตอย่างนี้ 3 ปี โคตรเซ็งเลย และรู้สึกว่าชีวิตไม่ได้ทำคุณค่าอะไร ก็เริ่มคิดใหม่" ครูรัตน์ เล่า
ครูรัตน์ มีความคิดว่า หากคนเรามีอายุเฉลี่ย 80 ปี มีเวลาใช้ชีวิตหลังเกษียณอีกตั้ง 20 ปี จะใช้เวลาพักผ่อนยาวนานแค่ไหน จึงเริ่มทำสิ่งที่อยากจะทำ โดยตั้งใจจะมีชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อคนวัยเกษียณ อยากเห็นคนวัยเกษียณไทยใช้ชีวิตแบบมีคุณค่าเต็มศักยภาพเต็มที่ และมีความสุขตลอดชีวิตของการกษียณ เพราะวันหนึ่งๆ ผ่านไปเร็วมาก
เริ่มจากการทำสวนมะเดื่อฝรั่ง และไปออกกำลังกาย ทำเว็บไซต์ครูรัตน์ดอทคอม ทำเพจเฟซบุ๊ก เกษียณแล้ว ทำอะไรดีวะ? เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนวัยเกษียณ และเป็นตัวอย่างการใช้ชีวิตที่มีคุณค่าและมีความสุขในสิ่งที่อยากทำ และยังมีอะไรอีกมากที่อยากทำ ไม่ได้ทำเพราะอยากรวย แต่ทำเพื่อให้ประเทศนี้เกิดกิจกรรม เกิดรายได้ เกิดฐานะ ไม่ต้องรบกวนลูกหลาน และแม้จะอายุ 68 ปีแล้ว ยังมีสิ่งที่อยากทำอีกมากและจะทำต่อไปเรื่อยๆ เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับสังคม
อยากบอกว่า ชีวิตเริ่มต้นได้เสมอ ไม่ว่าจะอยู่วัยไหน ขอเพียงแต่ว่าปรับใจและเปลี่ยนความคิดใหม่ และลงมือทำใหม่ เวลาที่เหลืออยู่อยากให้ค้นหาถึงสิ่งที่รัก ความถนัด ดูว่ามีความใฝ่ฝันอะไรที่ยังอยู่ในใจ และสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับคนอื่น สำหรับโลกใบนี้ และได้ผลตอบแทนด้วย ให้รีบทำ
"คนที่บอกว่าอยากเกษียณเร็ว อยากเลิกทำงาน เพราะทำในสิ่งที่ไม่ชอบ หากทำในสิ่งที่ชอบจะไม่อยากเกษียณ" ครูรัตน์ กล่าว
ครูรัตน์ ยืนยันว่า เป็นคนที่เกษียณสุข โดยมองว่าความสุขเป็นลักษณะนิสัย ไม่ใช่ว่ามีนั่นมีนี่ ซึ่งการมีเงิน มีทรัพย์สินเยอะ ใช่ว่าจะมีความสุข แต่ถ้าไม่มีเงิน ทุกข์แน่นอน ฉะนั้นมีเงินไว้ก่อนดี หลังจากนั้นหาสิ่งต่างๆ มาเติมเต็ม
วันนี้ ผมเกษียณรวย มีคุณค่า มีศักยภาพ ในการทำเพื่อสังคม เพื่อตัวเอง เป็นร่มโพธิ์ ร่มไทร ให้ลูกหลาน มีคำสอน คำเตือนสติ ให้การค้ำหนุนน้ำใจ กำลังใจไม่เป็นภาระให้กับสังคม ประเทศ เพราะผลจากการทำงานในวัยหนุ่ม พร้อมกับย้อนรอยอดีตให้ฟังว่า สมัยเด็กๆ พ่อแม่ไม่เคยสอนเรื่องการออมเงิน เพราะครอบครัวมีฐานะยากจน โชคดีที่พ่อแม่ส่งเสียให้ได้เรียนจนจบปริญญาตรี โดยต้องการให้รับราชการชีวิตจะได้สบาย ช่วยดูแลน้องๆ และจะได้มีกำลังดูแลพ่อแม่ยามชรา
ช่วงเรียนหนังสือ พ่อแม่ไม่มีเงินให้เหลือเก็บ แม่จะสอนให้รู้จักใช้ให้พอ มีน้อยใช้น้อย เมื่อเรียนจบปริญญาตรี ได้เข้ารับราชการครู ส่งเสียน้องเรียน และใช้หนี้สินให้พ่อแม่อยู่ 3 ปี พบว่าไม่ใช่ทางที่ชอบ จึงลาออกเพื่อไปตามหาอุดมการณ์อยู่ 4 ปีครึ่ง ทำให้ความหวังของพ่อแม่พังทลาย
"ช่วงตามหาอุดมการณ์พบว่าสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดที่เรามองหา ก็กลับมาใช้ชีวิตปกติ ด้วยการเริ่มเป็นเจ้านายตัวเอง เพราะอยากใช้ชีวิตอย่างมีเสรีภาพ ด้วยการเริ่มต้นจากการเป็นนักขาย และทำธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ และเติบโตเกือบถึง 100 ล้านบาท และคาดหวังว่าธุรกิจที่ทำจะเป็นเหมือนห่านทองคำ แต่เมื่อเจอวิกฤตต้มยำกุ้งชีวิตพลิกผันกลายเป็นหนี้กว่า 10 ล้านบาท" ครูรัตน์ เล่า
ครูรัตน์ เล่าต่อว่า ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งหลายคนที่ชีวิตพลิกผันมีการฆ่าครอบครัวและฆ่าตัวตายตามเพื่อหนี แต่ครูรัตน์ตัดสินใจสู้ เดินหน้าเจรจาประนอมหนี้ ขายทรัพย์สินใช้หนี้ ใช้เวลา 7-8 ปี แก้หนี้สินหมด และธุรกิจเริ่มเติบโต สินทรัพย์ก็เพิ่มมากขึ้น ซึ่งโชคดีที่หลังอายุ 60 ได้วางมือจากธุรกิจ โดยมอบให้ลูกและภรรยาเข้ามาดูแลและสานต่อ จึงมีเวลาในการทำในสิ่งที่ใฝ่ฝัน
"หาเอกลักษณ์ตัวเองให้เจอว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน แล้วเลือกที่จะวางแผนอนาคตตามลักษณะชีวิตและนิสัยของตัวเอง หาสมดุลชีวิตของตัวเองให้เจอ เมื่อเจอสิ่งที่รักและมีรายได้ รู้สึกมีคุณค่า จะไม่อยากเกษียณ แล้วความสมบูรณ์พูนสุขจะเกิดในหัวใจ" ครูรัตน์ ให้ข้อคิด


