posttoday

‘สีจิ้นผิง’ชูสายแข็ง กำปั้นเหล็กครองโลก

17 ตุลาคม 2560

นันทิยา วรเพชรายุทธ เปิดฉากไปแล้วสำหรับการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนวันแรกเมื่อวานนี้ นำโดยประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ที่ประกาศความ "อหังการ" สไตล์พญามังกรจีน โดยครั้งนี้ไม่ได้เปิดเผยเพียงแค่แผน 5 ปีเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา แต่เป็นการประกาศยุทธศาสตร์ระยะยาวที่จะขึ้นเป็นผู้นำโลกภายในอีก 30 ปี

นันทิยา วรเพชรายุทธ

เปิดฉากไปแล้วสำหรับการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนวันแรกเมื่อวานนี้ นำโดยประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ที่ประกาศความ "อหังการ" สไตล์พญามังกรจีน โดยครั้งนี้ไม่ได้เปิดเผยเพียงแค่แผน 5 ปีเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา แต่เป็นการประกาศยุทธศาสตร์ระยะยาวที่จะขึ้นเป็นผู้นำโลกภายในอีก 30 ปี

สีจิ้นผิง ประกาศว่าจะนำพาจีนสู่การเป็น "ประเทศสังคมนิยมยุคใหม่" ซึ่งจะก้าวขึ้นเป็นประเทศมหาอำนาจของโลกภายในปี 2050

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ การ "ตีความ" ถ้อยแถลงของผู้นำรุ่นที่ 5 ในครั้งนี้

หากมองผ่านแว่นขยายแบบลวกๆ โดยเน้นสีสันเป็นหลัก สีจิ้นผิงอาจกลายเป็นตัวตลกอีกครั้งเหมือนที่เคยถูก ล้อเลียนเป็นตัวการ์ตูนหมีพูห์มาแล้ว เพราะในการแถลงที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยมีมาของผู้นำจีนถึง 3 ชั่วโมงครึ่งนั้น ทำให้แม้แต่บรรดาผู้นำระดับสูงในพรรคฯ ยังแสดงออกทางสีหน้าจนถูกจับภาพลงข่าวไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอดีตประธานาธิบดี เจียงเจ๋อหมิน ที่ทั้งหาวปากกว้างและถึงขนาดต้องใช้แว่นขยายขนาดใหญ่มาส่องดูเนื้อความรายละเอียดที่สีจิ้นผิงกำลังพูด ไม่ต่างอะไรกับนายกรัฐมนตรี หลี่เค่อเฉียง ที่นั่งหน้าง่วงอยู่ข้างกัน

นอกจากการพูด 3 ชั่วโมงครึ่งจะแทบไม่มีทางทำให้คนเชื่อมั่นถึงอนาคตอันรุ่งโรจน์ในอีก 30 ปีข้างหน้าได้แล้ว ถ้อยแถลงของเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ยัง "ขาดรายละเอียดในเชิงปฏิบัติ" ว่าจะทำให้แนวคิดและแนวทางต่างๆ ที่ประกาศออกมานั้นสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างได้อย่างไร

อย่างไรก็ตาม หากตีความ "สัญญาณ" ในถ้อยแถลงของผู้นำจีนอย่างละเอียดแล้วจะพบว่า สีจิ้นผิงกำลังให้ทิศทางอนาคตของจีนตลอด 5 ปีข้างหน้า หรืออาจยาวนานกว่านั้นได้ "ชัดเจน" มากที่สุดครั้งหนึ่งเช่นกัน โดยเฉพาะความชัดเจนที่ว่า เสถียรภาพความมั่นคงของประเทศและการเมืองจีนย่อมมาก่อนสิ่งใด และจีนจะไม่ลังเลในการใช้ "กำปั้นเหล็ก" เพื่อรับมือกับยุคสมัยใหม่ที่กำลังทำให้หลายประเทศเกิดภาวะแตกแยกกันในขณะนี้

จากมุมมองของบีบีซีนั้น สีจิ้นผิงถือเป็นผู้นำสายแข็งมากกว่าที่เคย มีมา โดยสะท้อนผ่านสุนทรพจน์อัน ยาวเหยียดทว่าเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่น ซึ่งยกความสำเร็จตลอด 5 ปีที่ผ่านมา และสียังประกาศชัดว่าจะไม่ "ลอกเลียนแบบ" ระบอบการเมืองแบบตะวันตก เพราะหลายประเทศประชาธิปไตยตะวันตกต่างก็เกิดวิกฤตและความวุ่นวายอยู่ในขณะนี้ ดังนั้นอนาคตของจีนจึงควรเป็นสังคมนิยมยุคใหม่ในสไตล์จีนเองมากกว่า

เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ ได้ตีความถ้อยแถลงของสีใน 7 เรื่องหลัก นำโดยเรื่อง "ปรัชญาทางการเมืองใน แบบฉบับของสี" ที่เชื่อว่าสามารถ สร้างระบอบสังคมนิยมที่ผสมผสาน เข้ากับเอกลักษณ์เฉพาะแบบจีนเพื่อ ยุคสมัยใหม่ได้ ซึ่งหลักการนี้จะเป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาประเทศ ต่อไปอีกหลายปี

การที่สีได้รับการลงมติยอมรับจากในพรรคฯ ให้ขึ้นเป็นแกนนำหลัก ของพรรคเช่นเดียวกับผู้นำอันยิ่งใหญ่ในอดีต เช่น เหมาเจ๋อตง เติ้งเสี่ยวผิง ไปจนถึง เจียงเจ๋อหมิน ท่ามกลาง การขึ้นมากุมอำนาจได้เบ็ดเสร็จนั้น หมายความว่า แม้จะไม่มีการแก้กฎหมายเปิดทางให้นั่งเป็นผู้นำต่อได้เป็นสมัยที่ 3 แต่สีจะยังคงมีอิทธิพลต่อเนื่องในจีนไปอีกยาว เช่นเดียวกับที่เจียงในวัย 91 ปี ยังคงมีบทบาทอย่างสูงในปัจจุบันนี้

และ 1 ใน 14 องค์ประกอบสำคัญของปรัชญาการเมืองแบบ สีจิ้นผิง ก็คือ พรรคคอมมิวนิสต์ ควรมีบทบาทนำในทุกมิติของการ ใช้ชีวิตในจีน

นั่นหมายความว่า สีจิ้นผิงและคณะสมาชิกถาวรในกรมการเมือง หรือ 7 อรหันต์แห่งโปลิตบูโรจีน พร้อมที่จะใช้นโยบายกำปั้นเหล็กควบคุมทุกด้านในจีนหลังจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม การเมือง เศรษฐกิจ หรือแม้แต่ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่โดยปกติแล้วควรจะอยู่ห่างมือรัฐมากที่สุด แต่จากรายงานข่าวก่อนหน้านี้พบว่า จีนกำลังเตรียมการเข้าไปมีส่วนร่วม ในภาคเอกชนไอทีมากขึ้น ผ่านการ เข้าถือหุ้นเพื่อให้ได้สิทธิในการเข้า ไปนั่งในบอร์ดบริหาร

นั่นจึงหมายความได้ว่า ในโลกยุคใหม่ที่ประชาชนได้รับการปลดปล่อยด้านอิสรภาพทางความคิดมากขึ้นผ่านทางอินเทอร์เน็ตนั้น จะยังคงเป็นเรื่อง ที่ต่างไปในจีน ภายใต้การควบคุมผ่านนโยบายเกรทไฟร์วอลล์ ซึ่งนอกจากควบคุมคนของตนเองแล้ว ก็ยังส่งผล กระทบต่อการลงทุนของต่างประเทศอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เช่น การต้องตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศ และห้ามถ่ายโอนข้อมูลลูกค้าออกไปยังต่างประเทศ และบริษัทต่างชาติยังกังวลเรื่องการถูกบังคับทางอ้อมให้ต้องถ่ายโอนเทคโนโลยีในจีน เพื่อแลกกับการเจาะตลาดแดนมังกร

การที่สีจิ้นผิงบอกว่าจะใช้นวัตกรรมเป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่ความสำเร็จในปี 2050 นั้น จึงทำให้มองเห็นภาพลางๆ ได้เช่นกันว่า จีนจะเร่งเครื่องด้านไอทีและนวัตกรรมให้เข้มข้นขึ้น อีกหลังจากนี้ทั้งในบ้าน และการตะลุยเทกโอเวอร์นอกบ้านเช่นกัน

นอกจากความเข้มข้นทางการเมืองภายในบ้านตนเองนั้น อีกสัญญาณสำคัญที่ชัดเจนก็คือ นโยบายต่างประเทศที่แข็งกร้าว โดยเฉพาะต่อดินแดนในการปกครองของตนเองทั้งฮ่องกง มาเก๊า และจีนยังรวมไต้หวัน เข้าเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายนี้ด้วย พร้อมกับการพัฒนากองทัพให้แข็งแกร่งและทันสมัยขึ้นถึงระดับเวิลด์คลาส ภายในปี 2050 เช่นกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ยังสอดคล้องไปกับนโยบาย 1 แถบ 1 เส้นทาง (OBOR) ที่จีนจะขยายยุทธศาสตร์เส้นทางการค้าและการเมืองครั้งใหญ่ที่สุด การประกาศความแข็งกร้าวของสีจึงไม่ต่างอะไรกับสัญญาณเตือนว่าจีนพร้อมจะใช้ไม้แข็ง และอาจทำให้ภูมิภาคต้องเผชิญความตึงเครียดตามมาอีกหลังจากนี้

การรับมือความท้าทายในโลกยุคใหม่ด้วยการกางไฟร์วอลล์ม่านไม้ไผ่เลเซอร์ที่คุมเข้มขึ้นในทุกมิติ จึงเป็นเดิมพันครั้งใหญ่ของอนาคตจีนที่ต้องติดตามต่ออย่างใกล้ชิดหลังจากนี้ n

ข่าวล่าสุด

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดผสม หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์–พลังงานกดดัน S&P 500