ทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ชีวิตที่เป็นสุข ต้องไม่เป็นทาสเงิน
ศุภลักษณ์ เอกกิตติวงษ์ไม่ต้องเท้าความมากมายกับความสำเร็จทางธุรกิจของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หรือทิม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีอีโอ อกริฟู้ด บริษัทผลิตน้ำมันรำข้าวที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ ผ่านช่วงวิกฤตเป็นหนี้ 100 ล้านบาท ก่อนพลิกธุรกิจกลับมามีมูลค่าเป็นพันล้านบาท
ศุภลักษณ์ เอกกิตติวงษ์
ไม่ต้องเท้าความมากมายกับความสำเร็จทางธุรกิจของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หรือทิม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีอีโอ อกริฟู้ด บริษัทผลิตน้ำมันรำข้าวที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ ผ่านช่วงวิกฤตเป็นหนี้ 100 ล้านบาท ก่อนพลิกธุรกิจกลับมามีมูลค่าเป็นพันล้านบาท
แนวคิดการบริหารเงินของพิธา สรุปง่ายๆ ประโยคเดียว "เราต้องเป็นเจ้าของเงิน ไม่ใช่ให้เงินมาเป็นเจ้าของเรา"
พิธา เล่าว่า วิธีคิดเริ่มมาจากหลายอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต ตั้งแต่ที่เสียคุณพ่อไป ก็รู้แล้วว่าชีวิตไม่แน่นอน ถ้ามัวแต่เสียเวลาไปกับการเป็นทาสของเงินก็คงไม่มีความสุขในชีวิต และยืนยันด้วยการเผชิญกับวัฏจักรชีวิตที่ครบวงจร การจากไปของพ่อและการเกิดของลูก ทำให้รู้สึกว่า ชีวิตที่มีความสุขจริงๆ คือ อิสรภาพ ไม่ได้อยู่ที่จำนวนเงิน
"ถ้าคุณเป็นเจ้าของเงิน เงินก็ไปทำงานให้คุณ มีรายได้หักรายจ่าย เหลือเอาไปออม แต่ถ้าคุณเป็นทาสเงิน เงินจะสั่งให้คุณไปทำงานที่คุณไม่ชอบไม่รัก กลับบ้านมาเพื่อที่จะเอาเงินไปจ่ายหนี้ค่าบ้าน ค่ารถ ค่าบัตรเครดิต ชีวิตไม่มีวันมีความสุขได้"
สำหรับพิธา เงินจำเป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่ความสุขที่สุดในชีวิตของคนเป็นพ่อ คือ ลูกวิ่งมาหา แล้วเรามีอิสรภาพ มือว่าง สมองว่างที่จะอุ้มเขาได้ โชคดี เจอความสุขฟรีไม่เสียเงินที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน ไม่มีค่าเข้า ก็เอาข้าวไปป้อนลูก และวิ่งรอบสวน ตอนนี้ตัวเองใช้เงินแต่ละเดือนไม่ถึง 10% ของรายได้
ระหว่างในช่วง 10 ปี ที่พ่อเสียชีวิตและลูกเกิด พิธามีโอกาสได้พบเจอคนเก่งๆ หลายคน ตอนอยู่อเมริกา เจอ วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีอันดับต้นของโลก เพราะบ้านอยู่ตรงข้ามกัน ซึ่งบ้านบัฟเฟตต์เล็กกว่าบ้านตัวเองอีก ขับรถยนต์วอลโว่รุ่นเก่า สะท้อนว่าคุณค่าของคนจริงๆ คือสิ่งที่อยู่ข้างใน เพราะบัฟเฟตต์เป็นคนที่มีรายได้มากกว่าจีดีพีประเทศไทย แต่การใช้ชีวิตของเขาเรียบง่าย มีความสุข โดยที่ไม่ต้องพึ่งเงิน
มีคนเคยบอกว่า ครึ่งชีวิตสะสม อีกครึ่งชีวิตสะสาง ครึ่งแรกสะสมอีโก้ สะสมสิ่งของ สะสมอะไรที่ไม่จำเป็นกับชีวิต พอมาถึงจุดหนึ่งก็รู้และเข้าใจแล้วว่าที่ผ่านมามันไม่ใช่ ก็ต้องใช้เวลาสะสาง
พิธา บอกว่า ถ้านับอายุขัยคนไทยที่พูดกันว่าอยู่ที่ 75 ปี ตอนนี้ผมจะ 40 ผ่านมาครึ่งชีวิตแล้ว เพิ่งจะเริ่มต้นไม่นาน มาคิดว่า ถ้าเราสามารถคิดได้ตั้งแต่อายุ 30 เริ่มออมก็จะเกิดดอกเบี้ยทบต้น ตัวอย่าง เวลาฝากเงิน 100 บาท แล้วดอกเบี้ยสมมติ 5% ปีถัดไปก็เป็น 5% ของ 105 บาท ปีถัดไปก็จะเป็น 5% ของ 107.25 บาท ไปเรื่อยๆ เพราะเวลามีมูลค่า ถ้าเริ่มได้เร็วก็ย่อมได้เปรียบ
"ก่อนมีลูกกับหลังมีลูกใช้เงินเหมือนเดิม คือ เรายังใช้เงินอยู่ แต่ใช้แบบคุ้มค่า เปรียบเทียบเวลามีแอปเปิ้ลหลายผล ให้กินผลที่ดีที่สุดผลเดียวพอ อย่าไปกินที่เหลือ อย่างก อย่าตะกละ"
พิธาได้จัดการการเงินส่วนตัวเพื่ออนาคต โดยทำประกันชีวิตและประกันสุขภาพให้แม่ ประกันชีวิตให้ตัวเอง ภรรยา และลูกแล้ว รวมทั้งมีเงินเก็บให้ลูกไว้เรียนหนังสือเรียบร้อยแล้ว
ส่วนการบริหารเงินเพื่อสร้างผลตอบแทนนั้น พิธามีการกระจายความเสี่ยงทั้งต่ำและสูง ได้ลงทุนในแอลทีเอฟ กองทุนโกลบอลอินคัม และกองทุนรวมที่มีผลตอบแทนที่น่าพอใจ รวมทั้งตลาดหุ้นด้วย ซึ่งพิธามีทฤษฎีเล่นสินทรัพย์หรือหุ้น คือ "ซื้อแค่เข่า ขายแค่ไหล่" เพราะไม่มีใครที่จะซื้อที่ตรงเท้า แล้วขายที่ หัวได้
"เงินเหมือนฟุตบอล มีรับ มีรุก เงินมีเก็บไว้อาจจะอยู่ในมันนี่มาร์เก็ตหรือสะสมดอกเบี้ย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่โลกมันเปลี่ยน หรือเกิดวิกฤตขึ้น เป็นช่วงที่เราต้องมีกระสุนไว้ เงินมีจังหวะเร็วช้าหนักเบา หากเข้าใจเราก็จะมีชีวิตที่ไม่ต้องไปคิดถึงมัน แล้วกลับมาทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ"
แนวทางบริหารรายได้ พิธานึกถึงวอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยบอกว่า รายได้หรือผลตอบแทนควรกระจายมาจากหลายที่ อย่างน้อย 3-4 แห่ง อย่าอยู่ที่จุดจุดเดียว อย่างธุรกิจที่เคยดีก็แย่ได้ งานที่เคยมีก็ตกงานได้ ฉะนั้นหากกระจาย เป็นค่าเช่าบ้าง เป็นดอกเบี้ยบ้าง เป็นค่าสมาชิกบ้าง เหมือนเป็นแม่น้ำ 5 สาย ที่สามารถบริหารได้ง่าย
ส่วนการใช้จ่าย แม้ตอนเด็กจะเรียกว่าใช้แหลก ฟุ่มเฟือย แต่ปัจจุบันมีการคิดก่อนใช้หรือคิดก่อนช็อปเสมอ ซึ่งพิธาย้ำว่า ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องใช้เงินแต่ควรจะใช้เงินอย่างมีวิธี โดยให้คิดว่า อะไรที่ซื้อง่าย-ขายยาก อย่าไปซื้อ ส่วนอะไรซื้อยากต้องต่อแถว แต่ขายง่าย เช่น งานศิลปะ กระเป๋า ปาเต๊ะ ซื้อได้ เพราะเป็นของมีมูลค่าเพิ่ม
สำหรับมุมมองของพิธาถึงคนรุ่นใหม่ ไม่ได้มองเพียงการสอนให้ออมเท่านั้น แต่ประสบการณ์ชีวิตก็สำคัญ และอาจเป็นประสบการณ์มาหาเงินได้ในอนาคต จึงสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่เก็บเงินแล้วทำอะไรที่อยากทำตั้งแต่ช่วงวัย 20 เพราะหากอายุมากขึ้น มีเงิน มีเวลา แต่ก็ชราไปแล้ว เพราะฉะนั้นให้ฉลาดคิดก่อนและฉลาดใช้ พอรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร หากรู้เร็วเท่าไร ก็จะบริหารเงินตัวเองได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น
"รากเหง้าของปัญหาไม่ได้อยู่ที่วิธีการใช้เงิน เด็กรุ่นใหม่ที่ประสบมาส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และไม่รู้ว่าตัวเองมีคุณค่ายังไง ซึ่งเงินเป็นสิ่งที่ช่วยได้เร็วที่สุดในการซื้อของที่ช่วยทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีตัวตนขึ้น ฉะนั้น ต้องค้นหาตัวเองให้เจอ เมื่อมีสิ่งที่รักและวันๆ มุ่งมั่นทำสิ่งนั้นได้ทั้งวัน ก็ไม่ต้องไปเดินช็อปปิ้งเสียเงินกับสิ่งไม่จำเป็น"
พิธายังทิ้งท้ายถึงสิ่งที่ท่านพุทธทาส บอกไว้ อยู่อย่างต่ำ การกระทำ อย่างสูง กินข้าวเท่าจานแมวสิ่งเหล่านี้คือเรารู้แล้วว่าเราเกิดมาเพื่ออะไรมีความสุขกับอะไร เรื่องเงินจะ ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญอีกต่อไป


