ราชสกุลในพระบรมราชจักรีวงศ์ (37)
12.เจริญผลพูลสวัสดิ์ - พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชมพูนุท กรมขุนเจริญผลพูลสวัสดิ์ (28 ส.ค. 2370-2 เม.ย. 2435)
โดย วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย
12.เจริญผลพูลสวัสดิ์ - พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชมพูนุท กรมขุนเจริญผลพูลสวัสดิ์ (28 ส.ค. 2370-2 เม.ย. 2435)
กรมหมื่น ได้รับการสถาปนาเป็น พระองค์เจ้าต่างกรม ที่ กรมหมื่น โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี 2409
กรมขุน ได้รับการสถาปนาเลื่อนกรมขึ้น เป็น กรมขุน โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี 2421
13.สุดารัตนราชประยูร - สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าละม่อม กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร (8 ธ.ค. 2361-17 ส.ค. 2439)
กรมพระ ได้รับการสถาปนาเป็น พระองค์เจ้าต่างกรมฝ่ายใน ที่ กรมพระ โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2411
กรมพระยา ได้รับการสถาปนาเลื่อนกรมขึ้นเป็น กรมพระยา โดยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2416
14.วรเสรฐสุดา - พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุตรี กรมหลวงวรเสรฐสุดา (17 มิ.ย. 2371-1 ธ.ค. 2450)
กรมหลวง ได้รับการสถาปนาเป็น พระองค์เจ้าต่างกรมฝ่ายใน ที่ กรมหลวง โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี 2439
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ หรือ กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ ประสูติเมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2328 มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าอรุโณทัย เมื่อทรงพระเยาว์ออกพระนามว่า พระองค์เจ้าช้าง หรือ พระองค์เจ้า กัททลีวัน เป็นพระราชโอรสลำดับที่ 17 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ประสูติแต่ เจ้าจอมมารดานุ้ยใหญ่ ธิดาเจ้าพระยานคร (พัฒน์)
พระองค์เจ้าอรุโณทัยได้ทรงกรมเป็น กรมหมื่นศักดิพลเสพ ในปี 2350 ทรงกำกับราชการกลาโหมในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อปี 2363 มีข่าวพม่าจะยกทัพ เข้ามาตีไทย ทรงเป็นแม่ทัพคุมไพร่พลไปตั้งที่เมืองเพชรบุรี ทำศึกร่วมกับกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ซึ่งยกทัพไปตั้งที่เมืองราชบุรีและกาญจนบุรี
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคตในปีวอก จุลศักราช 1186 พ.ศ. 2367 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ราชสมบัติ มีพระราชดำริว่า กรมหมื่นศักดิพลเสพมีบำเหน็จความชอบมาก จะโปรดให้เป็น กรมพระราชวังบวรสถานมงคล และมีรับสั่งว่าวังหน้าเป็นพระราชวังใหญ่โต หาควรจะทิ้งไว้ให้เป็นวังร้างไม่ กรมหมื่นศักดิพลเสพก็เป็นพระราชบุตรเขยของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พ้นข้อรังเกียจที่กล่าวกันว่า ทรงแช่งสาปไว้แต่ก่อน จึงโปรดให้เสด็จไปเฉลิมพระราชมนเทียร ประทับอยู่ในพระราชวังบวรฯ ได้ทำการพระราชพิธีอุปราชภิเษกเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 10 แรม 6 ค่ำ
ลักษณะการพิธีที่ทำครั้งรัชกาลที่ 3 คราวนี้ โดยยุติว่าให้ใช้แบบอย่างครั้งกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ในการอุปราชาภิเษกจึงปลูกพลับพลาที่ข้างโรงละคร ให้กรมหมื่นศักดิพลเสพเสด็จเข้ามาประทับแรมอยู่พระบรมมหาราชวังตลอดเวลาพิธีและเสด็จไปทรงเครื่องที่พระที่นั่งดุสิดาภิรมย์ แล้วแห่ขึ้นไปทรงฟังสวดที่พระราชวังบวรฯ เหมือนเมื่อครั้งรัชกาลที่ 2 แปลกกับอุปราชาภิเษกครั้งรัชกาลที่ 2 แต่ที่พระสงฆ์สวดมนต์ในพระราชวังบวรฯ เป็น 4 แห่ง คือ พระวิมานทั้ง 3 องค์ และพระที่นั่งสุทธาสวรรย์อีก 1 แห่ง กับดูเหมือนจะลดถาดทองและตั่งไม้มะเดื่อที่สรง และลดกระบวนที่แห่เสด็จลงบ้าง ด้วยปรากฏในหมายกรมวังตรง 2 ข้อนั้นว่า "ให้ไปทูลถามกรมหมื่นรักษ์รณเรศ" แต่จะยุติเป็นอย่างไรหาทราบไม่ กรมหมื่นศักดิพลเสพเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เมื่อ พระชนมายุได้ 40 พรรษา
กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพได้ทรงสถาปนาการในพระราชวังบวรฯ หลายอย่างทราบได้โดยจดหมายเหตุบ้าง โดยสังเกตฝีมือช่างบ้าง เวลานั้นพระราชมนเทียรสถานเห็นจะชำรุดทรุดโทรมมาก เข้าใจว่ากรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพทรงซ่อมแซมพระวิมานทั้ง 3 หลัง แต่กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพหาเสด็จขึ้นประทับบนพระวิมานไม่ ประทับอยู่ที่พระที่นั่งบุรพาภิมุขมาตลอดพระชนมายุและในคราวที่ซ่อมแซมนี้ ทรงสร้างเพิ่มเติมขึ้นใหม่ด้วย คือ
ในหมู่พระวิมาน ต่อมุขหลังตรงพระวิมานองค์กลางออกไปเป็นท้องพระโรงหลังมุข 1 ขนาดนามว่าพระที่นั่งปฤษฎางคภิมุข ส่วนมุขหน้าของเดิมแปลงเป็นมุขกระสัน ขนานนามว่า พระที่นั่งภิมุขมณเทียร
ให้รื้อทิมมหาวงศ์ด้านตะวันออกเสียทั้งด้าน แล้วสร้างพระที่นั่งเป็นท้องพระโรงขึ้นใหม่อีกองค์หนึ่งต่อจากมุขของเดิม ให้พระที่นั่งบุษบกมาลาที่มุขเด็จเดิม อยู่เป็นประธานในท้อง พระโรงนั้น หน้าท้องพระโรงพอต่อถึงบริเวณพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ท้องพระโรงที่ทำใหม่นี้ เอาอย่างพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยในพระราชวังหลวง ขนานนามว่า พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย ยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้


