พระเจ้าอยู่หัวกับการเมืองไทย (จบ)
สังคมไทยขาดพระมหากษัตริย์ไม่ได้!ดังที่ได้อธิบายมาในสัปดาห์ก่อนแล้วว่า
โดย ทวี สุรฤทธิกุล
สังคมไทยขาดพระมหากษัตริย์ไม่ได้!ดังที่ได้อธิบายมาในสัปดาห์ก่อนแล้วว่า แม้จะมีความพยายามของคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ที่จะกีดกันพระมหากษัตริย์ออกจากการใช้อำนาจในทางการเมือง กระทั่งมาเกิดกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ที่ฝ่ายผู้คิดไปในแนวทางนั้นอาจจะคิดว่าคงทำได้สำเร็จแล้ว แต่กลายเป็นว่ากลับทำให้สังคมไทย "ถวิลหวัง" และดึงสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวกับการเมือง "โดยตรง" อย่างไม่รู้ตัว
ทั้งนี้ กรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ได้ส่งผลกระทบต่อสังคมและการเมืองไทยอย่างมหาศาล
ประการแรก ได้ทำให้คณะราษฎร "แพแตก" แยกออกเป็นพวกฝ่ายพลเรือนที่หมดสิ้นอำนาจไปพร้อมกับการลี้ภัยทางการเมืองของแกนนำ คือ ปรีดี พนมยงค์ กับฝ่ายทหารที่ฟื้นคืนสู่อำนาจภายใต้การนำของจอมพล ป.พิบูลสงคราม (ซึ่งฝ่ายพลเรือนพยายามจะฟาดฟันให้สูญสิ้นอำนาจไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยจับจอมพล ป.ขึ้นศาลอาชญากรสงคราม แต่ก็ทำอะไรจอมพล ป.ไม่ได้) โดยการ กลับมาในคราวนี้ฝ่ายของจอมพล ป.ได้วางแผนกำจัดลิ่วล้อบริวารของปรีดีอย่างเหี้ยมโหด ดังเช่นกรณีสังหารโหด 4 รัฐมนตรี แต่กระนั้นก็เกิด "การแข่งบุญวาสนา" ระหว่าง พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ กับ พล.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่สุดถึงขั้นต้องปฏิวัติขับไล่กัน ภายหลังจากที่ พล.ต.อ.เผ่า จัดการเลือกตั้งครั้งสกปรกในวันที่ 26 ก.พ. 2550 ส่งผลให้จอมพล ป.ต้องถูกบีบให้ออกนอกประเทศ และไม่ได้กลับมาอีกเลย
ประการต่อมา ทำให้สถานะของพระมหากษัตริย์มีความโดดเด่น "สูงส่งขึ้น" อันสืบเนื่องจากการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันเองในหมู่คณะราษฎรและนายทหาร ทำให้ประชาชนเกิดความเปรียบเทียบว่าไม่มีสถาบันที่มีคุณค่าความดีงามควรแก่การเคารพเทิดทูนเทียมเท่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ยิ่งได้เห็นความล้มเหลวในการบริหารประเทศหลายๆ เรื่องตลอดระยะเวลา 15 ปี (2475-2490) ที่คณะราษฎรครองอำนาจ โดยเฉพาะการทุจริตคอร์รัปชั่นที่หนักขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงท้ายๆ ก็ยิ่งทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา (กรณีเช่นนี้อาจจะนำมาเทียบเคียงกับการปฏิวัติรัฐประหารนับหลายๆ ครั้งของไทย โดยเฉพาะการโค่นล้มรัฐบาลพลเรือนโดยฝ่ายทหารที่เกิดจากความเบื่อหน่ายของประชาชนที่มีต่อรัฐสภาและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง อย่างกรณีการรัฐประหารในปี 2534, 2549 และ 2557 แต่สุดท้ายทหารก็ประสบความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ซึ่งก็น่าเป็นห่วงว่า คสช.ในขณะนี้ก็อาจจะประสบปัญหาอย่างเดียวกัน)
ประการสุดท้าย ต้องยอมรับว่าทั้งพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระชนม์อยู่ ในวัย "เยาวชน" ในขณะที่ขึ้นครองราชย์ทั้งสองพระองค์ คือ รัชกาลที่ 8 ครองราชสมบัติสืบต่อจากพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ในปี 2477 ด้วยวัยเพียง 8 ชันษา และรัชกาลที่ 9 ก็มีพระชนม์เพียง 6 ชันษา ในคราวที่นิวัติเสด็จฯ ตามพระเชษฐากลับมาครองราชย์ ตามคำพูดของคนที่เติบโตร่วมสมัยมาในช่วงเวลานั้น ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทั้งสองพระองค์นี้ทรง "น่ารักน่าเอ็นดูเป็นที่สุด" และยิ่งรัชกาลที่ 8 มาประสบชะตากรรมอันแสนหดหู่ ก็ยิ่งทำให้คนไทยมีความอาลัยอาวรณ์พระองค์ท่านเป็นยิ่งนัก เช่นเดียวกันกับการขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระเชษฐาของรัชกาลที่ 9 ด้วยพระจริยวัตรอันงดงาม กอปรด้วยพระราชกรณียกิจอันทุ่มเท ทำให้คนไทย "ยิ่งรักยิ่งหลง" พระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้เป็นที่ยิ่ง
ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ได้บวชถวายเป็นพระราชกุศลครั้งที่มีการถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 ในตอนต้นปี 2493 และต่อมาได้ตั้งหนังสือพิมพ์สยามรัฐในกลางปีนั้น ท่านได้เขียนนวนิยายเรื่องสำคัญ คือ "สี่แผ่นดิน" ที่บรรยายถึงความผูกพันระหว่างคนไทยกับพระมหากษัตริย์ โดยให้ชาววังอย่าง "แม่พลอย" เป็นผู้พรรณาอารมณ์ความรู้สึกดังกล่าว ปรากฏว่า "ขายดิบ ขายดี" เกินคาด ทำให้หนังสือพิมพ์สยามรัฐกลายเป็นสื่อมวลชนที่ "ทรงอิทธิพล" ขึ้นมาทันที ในเรื่องนี้นั้นท่านอาจารย์ คึกฤทธิ์อธิบายว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจาก "ความถวิลหวัง" ของคนไทยที่มีต่อพระมหากษัตริย์โดยแท้
"ความถวิลหวัง" เป็นภาษาทางวรรณคดี หมายถึงการคร่ำครวญถึงอดีตอันสวยงามเพื่อมุ่งหาอนาคตที่ดีๆ ดังในอดีตนั้น หรือถ้าจะเรียกด้วยภาษาการเมือง ก็คือ "กระแสความรู้สึก" หรือ "สำนึกพลเมือง" ที่ต้องการย้อนอดีตทางการเมืองการปกครองไปสู่ยุครุ่งเรืองหรือ ดีงาม ด้วยการ "ร้องหา" ผู้ปกครองที่ดีน่าเคารพเทิดทูน ทั้งนี้ถ้าท่านทั้งหลายยังจำได้ ในคราวที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จฯ ไปยุโรปเพื่อทรงศึกษาต่อ ก็มีภาพและเสียงของคนไทยที่ไปส่งเสด็จฯ ตะโกนร้องว่า "พระเจ้าอยู่หัวอย่างทิ้งประชาชน" ซึ่งก็ทรงมีพระราชดำรัสตอบว่า "ถ้าประชาชนไม่ทิ้งเรา เราจะทิ้งประชาชนได้อย่างไร"
ด้วยเหตุนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯ กลับมาในปี 2493 เพื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเชษฐาและทำพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นครองราชย์ต่อมานั้น จึงได้ประกาศปฐมบรมราชโองการว่า "เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" หลายคน เชื่อว่าเป็นพระราชปณิธานที่อยู่ในพระราชหฤทัยของพระองค์มาโดยตลอด รวมถึงที่ทรงมีความตั้งพระราชหฤทัยที่จะปกครองราษฎรของพระองค์ให้มีความสุขความรุ่งเรืองจริงๆ
คนไทยโชคดีนักที่มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงรักประชาชนยิ่งแล้ว


