SKNเติบโต เพราะรู้จักเปิดกว้าง
บงกชรัตน์ สร้อยทองปัจจุบันอาจจะเห็นยุคเจเนอเรชั่นที่ 3 ของธุรกิจครอบครัวเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มากขึ้น หนึ่งในนั้นคือบริษัท "ส.กิจชัย เอ็นเตอร์ไพรส์" (SKN) ที่คนรุ่นหนึ่งและรุ่นสองร่วมทำธุรกิจโรงเลื่อย โรงอบ จนมีโรงเฟอร์นิเจอร์ ตั้งแต่กว่า 36 ปีที่ผ่านมา โดยต่อยอดจากวัสดุไม้ต่างๆ มาอยู่ในส่วนวัสดุทดแทนไม้ปาร์ติเกิล จนล่าสุดเป็นการผลิตแผ่นไฟเบอร์บอร์ดความหนาแน่นปานกลาง (เอ็มดีเอฟ) ที่เห็นความต้องการใช้สินค้าอีกในตลาดโลกยังมีอีกมาก และคาดว่าจะทำให้มีรายได้ที่เติบโตในอนาคต จึงตัดสินใจระดมทุนด้วยการเสนอขายหุ้นให้ประชาชนครั้งแรก (ไอพีโอ) และจดทะเบียนเข้า SET เมื่อวันที่ 6 ก.ย.ที่ผ่านมา
บงกชรัตน์ สร้อยทอง
ปัจจุบันอาจจะเห็นยุคเจเนอเรชั่นที่ 3 ของธุรกิจครอบครัวเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มากขึ้น หนึ่งในนั้นคือบริษัท "ส.กิจชัย เอ็นเตอร์ไพรส์" (SKN) ที่คนรุ่นหนึ่งและรุ่นสองร่วมทำธุรกิจโรงเลื่อย โรงอบ จนมีโรงเฟอร์นิเจอร์ ตั้งแต่กว่า 36 ปีที่ผ่านมา โดยต่อยอดจากวัสดุไม้ต่างๆ มาอยู่ในส่วนวัสดุทดแทนไม้ปาร์ติเกิล จนล่าสุดเป็นการผลิตแผ่นไฟเบอร์บอร์ดความหนาแน่นปานกลาง (เอ็มดีเอฟ) ที่เห็นความต้องการใช้สินค้าอีกในตลาดโลกยังมีอีกมาก และคาดว่าจะทำให้มีรายได้ที่เติบโตในอนาคต จึงตัดสินใจระดมทุนด้วยการเสนอขายหุ้นให้ประชาชนครั้งแรก (ไอพีโอ) และจดทะเบียนเข้า SET เมื่อวันที่ 6 ก.ย.ที่ผ่านมา
จุดเริ่มต้นการเข้า SET เกิดจากคนรุ่นสองคือ "วิชัย" กรรมการผู้จัดการ อายุ 57 ปี คุณพ่อของ "อรวรรณ" รองกรรมการผู้จัดการ อายุ 29 ปี และ "หาญศิริ" ผู้อำนวยการและนักลงทุนสัมพันธ์ อายุ 27 ปี ได้พูดคุยกับพี่น้อง 4 คน ว่าต้องการให้บริษัทอยู่อย่างยั่งยืน และต้องการให้เกิดความเข้าใจกันตรงกันในการเติบโตของบริษัท และรู้แค่ว่าน่าจะเข้า SET ได้
แต่กระบวนการวิธีทำงานทั้งหมดนี้ต้องอาศัยเจเนอเรชั่น 3 ดำเนินงาน เพิ่งเริ่มเข้ามาช่วยครอบครัวได้แตกธุรกิจจากไม้ปาร์ติเกิลเป็นเอ็มดีเอฟหลังเรียนจบระดับปริญญาตรีพอดี ประจวบกับเวลานั้นพอดีทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีโครงการหุ้นใหม่ความภูมิใจของจังหวัดออกมา "อรวรรณ" และ "หาญศิริ" จึงตัดสินใจไปร่วมอบรม เพราะที่ผ่านมาอาจรู้ประโยชน์ของตลาดหุ้นเพียงผิวเผิน แต่กระบวนการขั้นตอนการดำเนินงานนั้นถือว่ายังขาดความเข้าใจอยู่มาก ซึ่งก็สุดท้ายก็ทำให้รู้ว่าบริษัทจะต้องเตรียมตัวและเดินไปในทิศทางใด
"วิชัย" กล่าวว่า สิ่งที่รุ่นแรกได้ปลูกฝังกับคนรุ่นสองมาตลอดคือ "ต้องเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นทุกฝ่าย" เพราะการคิดคนเดียวมีโอกาสพลาดมากกว่า รวมทั้งต้องมีข้อตกลงกันในทางปฏิบัติว่า "ต้องรักสามัคคีและช่วยกันทำมาหากิน เป็นตัวอย่างที่ดีของลูกหลาน และคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว" เช่น อย่างไม้ 1 แผ่นที่ลูกค้าได้ซื้อไป ต้องสามารถทำให้ลูกค้าได้ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้สูงที่สุด ช่วยเขาลดต้นทุน และเพิ่มมูลค่าสินค้าได้มากที่สุด
"เมื่อรู้จักรักสามัคคี ต่างรับฟังความคิดเห็น และช่วยกันคิดพิจารณาข้อดีข้อเสียในสิ่งที่แต่ละคนเสนอ เพื่อสามารถเลือกสิ่งที่สมเหตุสมผลที่ดีที่สุดได้ไม่ว่าความคิดเห็นนั้นใครเป็นคนคิดก็ตาม ตลอดที่คนรุ่นสองเจอกันทุกสัปดาห์ระหว่างพี่น้องก็จะมีการบอกกล่าวและย้ำให้ทุกฝ่ายได้รับรู้ตลอดว่า ปกติธุรกิจมักจะเจ๊งจากคนรุ่นสาม เชื่อว่าต้องทำให้พวกเขารับรู้และคิดเสมอ ก่อนเข้า SET ก็ตั้งวิสัยทัศน์เลยว่าต้องเป็นหุ้นประเภทที่อนาคตดี ซึ่งคำคำนี้สามารถตอบโจทย์ทุกคนว่า บริษัทต้องเติบโต และต้องไม่คำนึงแต่ตัวเองอย่างเดียว อีกทั้งให้ความสำคัญกับการซื่อสัตย์ต่อลูกค้า คู่ค้า และเพื่อนร่วมงานด้วย เพราะถึงจุดหนึ่งสินค้าจะขายในตัวของมันเอง พร้อมกับต้องสร้างวัฒนธรรมให้เกิดการทำงานในบรรยากาศเหมือนพี่เหมือนน้องที่มีอะไรสามารถแลกเปลี่ยน หรือแชร์กันได้"
คุณพ่อ กล่าวเสริมว่า ความแตกต่างของรุ่นสองกับรุ่นประสบการณ์ที่รุ่นใหม่คงไม่เท่ารุ่นเก่า รุ่นเก่าก็จะมีการบริหารจัดการที่แตกต่างกันที่มีระบบ ขั้นตอน และแบบแผนในการดำเนินงานที่ชัดเจน สิ่งที่ทำได้คือ "ต้องหาจุดสมดุลในการทำงานและทำความเข้าใจให้เจอ ด้วยการสื่อสารกันให้มากที่สุด" เพราะทุกคนล้วนมีเป้าหมายเหมือนกันแต่วิธีการทำงานไม่เหมือนกัน อีกทั้งต้องพยายามแบ่งหน้าที่ให้ชัดเจนว่าใครเป็นคนรับผิดชอบอะไร
"หาญศิริ" และ "อรวรรณ" ให้มุมมองว่า สิ่งที่เห็นคือคนรุ่นสองได้ช่วยกันพัฒนาการและต่อยอดการทำธุรกิจที่บ้านมาตลอด เห็นได้จากจุดเริ่มต้นตั้งแต่มีโรงเลื่อยสู่แผ่นไม้เอ็มดีเอฟที่เขาช่วยกันมองว่า วัตถุดิบจากต้นยางพาราที่มีอยู่สามารถจะแปลเปลี่ยนเป็นอะไรได้บ้าง จากเปลือกไม้สู่กิ่งไม้ที่ไปเพิ่มการพัฒนาหรือต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์อะไรอย่างอื่นได้ และทุกผลิตภัณฑ์ที่ต่างช่วยกันคิดก็จะกลายเป็นสินค้าใหม่ของบริษัท ซึ่งก็มีการจดและจัดตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่รองรับทุกครั้ง
อย่างไรก็ดี การทำงานที่ใส่ใจรายละเอียดและคำนึงถึงคนอื่น ก็เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้บริษัทมีการจดบันทึกข้อมูลของลูกค้าเพื่อทราบความต้องการสินค้าประเภทไหน และนำไปพัฒนาให้ตรงกับความต้องการลูกค้ามากที่สุด โดยคำนึงถึงหัวใจสำคัญคือ "ต้นทุน" ทั้งลูกค้าที่ต้องมีต้นทุนไม่สูง ผู้ผลิตเองก็เกิดการผลิตต้นทุนต่อหน่วยไม่สูง จนตอนนี้ทุกล็อตการผลิตจะมีคิวซีเพื่อตรวจสเปกเลย จนพัฒนาไปถึงการมีห้องแล็บเพื่อวิจัยและพัฒนาสินค้าของบริษัทโดยเฉพาะ
สำหรับที่มีคำว่า "เอ็นเตอร์ไพรส์" ต่อท้ายของบริษัทที่ทำธุรกิจเอ็มดีเอฟโดยเฉพาะ หากมองการตลาดหรืออนาคตคือยังไปได้อีกไกล เพราะมีคำสั่งซื้อรองรับจำนวนมาก จนบริษัทไม่สามารถผลิตได้ทันและต้องปฏิเสธการผลิตลูกค้าไป ทำให้เห็นว่าถึงเวลาต้องระดมทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว แต่หากมองลึกลงไปจากหลักคิดของคนรุ่นแรกที่ปูพื้นฐานไว้ ต้องคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมและคนอื่น บริษัทตัดสินใจสั่งเครื่องจักรใหม่ที่ทำให้เกิดกระบวนการผลิตแผ่นเอ็มดีเอฟมีมลภาวะเป็นพิษออกมาต่อชุมชนน้อยที่สุด หรือเรียกได้ว่าจะเป็น "Zero Watse" ก็ได้ เพราะระบบน้ำเป็นระบบปิด ฝุ่นที่เกิดขึ้นก็จะถูกดูดกลับเข้าไปเป็นการเผาผลาญในระบบเชื้อเพลิง จนเหลือแต่ขี้เถ้าที่สุดท้ายก็นำไปให้ชาวบ้านทำเป็นปุ๋ย
นอกจากนั้น รุ่นปัจจุบันกำลังรวบรวมหลักคิดและข้อตกลงระหว่างสมาชิกของครอบครัวมาทำเป็นธรรมนูญครอบครัว เพราะรุ่นสองเห็นแล้วว่ากำลังเป็นครอบครัวขยายมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้หลักคิดของคนรุ่นหนึ่งอยู่เป็นแบบแผนและเป็นแพลตฟอร์มที่ทุกคนในครอบครัวจะต้องยึดเป็นแนวทางปฏิบัติ
จะเห็นได้ว่าการส่งต่อธุรกิจที่จะทำให้มีความยั่งยืนได้ ล้วนมาจากวิธีการถ่ายทอดวิธีคิดที่ดีด้วย


