ปัญหาแสนยาก
ศุภมิตร ปิติพัฒน์หนังสือเล่มใหม่ของ Condoleezza Rice เรื่อง Democracy มีความเห็นและข้อเสนอหลายประเด็นที่น่าใคร่ครวญต่อ เช่น ในบทนำ เธอทบทวนกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยหลายรูปแบบ ที่สร้างเงื่อนไขสนับสนุนหรือเป็นอุปสรรคแตกต่างกันต่อการพัฒนาประชาธิปไตยให้ตั้งมั่นได้ พร้อมข้อสังเกตต่อไปนี้ :
ศุภมิตร ปิติพัฒน์
หนังสือเล่มใหม่ของ Condoleezza Rice เรื่อง Democracy มีความเห็นและข้อเสนอหลายประเด็นที่น่าใคร่ครวญต่อ เช่น ในบทนำ เธอทบทวนกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยหลายรูปแบบ ที่สร้างเงื่อนไขสนับสนุนหรือเป็นอุปสรรคแตกต่างกันต่อการพัฒนาประชาธิปไตยให้ตั้งมั่นได้ พร้อมข้อสังเกตต่อไปนี้ :
"ในช่วงแรกๆ ที่กำลังเริ่มต้น ประชาธิปไตยจะเปราะบางแตกหักง่าย มีทางที่จะเกิดข้อผิดพลาดได้ไม่ยาก ขาดความสมบูรณ์แบบ และสับสนยุ่งเหยิง ประเด็นจึงไม่ใช่ว่าจะสร้างเงื่อนไขสมบูรณ์แบบขึ้นมาได้อย่างไร แต่คือคำถามว่าจะเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างไรภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบาก"
ในบรรดาปัจจัยที่ถูกมองว่าเป็นอุปสรรคยากลำบากต่อการพัฒนาประชาธิปไตยนั้น ประเด็นหนึ่งที่เธอ ไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน คือข้อเสนอของฝ่ายที่เน้นความสำคัญของวัฒนธรรม ที่มองว่าประชาธิปไตยนั้นเหมาะกับคนในบางวัฒนธรรมเท่านั้น สังคมใดขาดวัฒนธรรมที่เหมาะสม สังคมนั้นประชาธิปไตยไม่อาจจะหยั่งรากเข้มแข็งได้ Rice มองว่าการยกวัฒนธรรมเป็นข้อจำกัดในลักษณะนี้มาจากอคติแบบเหยียดเชื้อชาติอื่น
ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับเธอในข้อนี้ แต่อยากเสนอเพิ่มเติมว่า แม้เราไม่ควรนับลักษณะเฉพาะทางวัฒนธรรม ไม่ว่าวัฒนธรรมของคนกลุ่มไหนก็ตาม มาตั้งแง่ว่าพวกเขาไม่อาจเป็นประชาธิปไตยได้ แต่ก็เป็นไปได้เหมือนกันว่า สภาวะในทางวัฒนธรรมบางอย่างไม่เพียงแต่จะสร้างสถานการณ์ที่เป็นปัญหายากลำบากต่อพัฒนาการของประชาธิปไตย แต่อาจสร้างประชาธิปไตยที่เป็นปัญหาขึ้นมาในสังคมนั้นได้
ข้าพเจ้าคิดถึงปัญหาที่ Michael Mann (2005) ตั้งประเด็นให้เราพิจารณา Mann เสนอว่าประชาธิปไตยอาจปรากฏด้านมืดของมันออกมาได้ เมื่อ "ประชา" ที่ครองอำนาจอธิปไตยนั้น มิได้ถือว่าสมาชิกทุกคนในสังคมเป็นพลเมืองเหมือนกันอย่างเสมอภาค แต่จำกัด "ประชา" ไว้เฉพาะชาติพันธุ์กลุ่มใหญ่ที่ถือพวกตนว่าเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน ที่มีชาติพันธุ์กลุ่มน้อยอื่นๆ อาศัยร่วมอยู่ด้วย แต่ถูกจัดไว้ในฐานะที่ด้อยกว่า หรือไม่ได้รับการยอมรับใดๆ จากคนกลุ่มใหญ่ ปัญหาจะยิ่งมากขึ้นเมื่อ "ประชา" ในสังคมนั้นมิได้ตกลงร่วมกัน หรือมีประเพณีอันเข้มแข็งมาก่อนในการยึดถือหลักการเคารพสิทธิพื้นฐานของคนกลุ่มน้อยต่างชาติพันธุ์กับตน
ในเงื่อนไขแบบนี้ Mann ประมวลองค์ประกอบที่ผลักให้เกิดการใช้ความรุนแรงต่อคนกลุ่มน้อยในระดับที่จะเป็นการขจัดชาติพันธุ์ออกมาเป็นสมมติฐาน 8 ข้อใหญ่ เนื้อที่บทความ ไม่พอให้กล่าวถึงทั้งหมดได้ แต่ที่มาสำคัญข้อหนึ่งคือสภาวะทางสังคมที่ทำให้ประชากรของชาติพันธุ์คนกลุ่มใหญ่เกิดความหวั่นระแวงว่ารากฐานทางวัฒนธรรมที่เคยช่วยรักษาความเข้มแข็งในหมู่พวกเขาให้ยืนหยัดต่อความยากลำบากต่างๆ ตลอดมา และเป็นแกนหลักของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่ยึดเหนี่ยวประชาชนคนส่วนใหญ่ไว้จนกลบอัตลักษณ์แบบอื่น กำลังเจอภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง และความหวั่นระแวงนั้นพุ่งเป้าไปลงที่คนกลุ่มน้อยชายขอบ
ในการใช้ความรุนแรงจนขยายกลายเป็นการขจัดชาติพันธุ์นั้น Mann เสนอว่าไม่ได้มาจากเจ้าหน้าที่รัฐเพียงลำพัง แต่ที่สำคัญมาจาก 3 ฝ่ายประกอบกัน ได้แก่ 1.กลุ่มผู้นำหัวรุนแรงและมีอิทธิพลต่อรัฐบาล-พรรค 2.กองกำลังกึ่งทหารที่ใช้ความรุนแรงโดยฝ่ายกฎหมายไม่เอาผิด และ 3.ฐานสนับสนุนมวลชนที่กว้างขวางในสังคม โดยคนกลุ่มที่ 2 และ 3 นี้ ก็คือคนธรรมดาทั่วๆ ไปที่ถูกความกลัวหรือความเกลียดระดมมาให้ใช้ หรือสนับสนุนการใช้ความรุนแรงขจัดคนที่ถือว่าเป็นศัตรู หรือไม่ใช่พี่น้องร่วมชาติร่วมวัฒนธรรม คนทั้ง 3 กลุ่มเหล่านี้ก่อความรุนแรงโดยความรู้สึกของการเป็นผู้ที่เหนือกว่า และด้วยความคิดว่า พวกเขากำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อชาวโรฮิงญาในพม่าขณะนี้เข้าข่ายเป็นปัญหาการขจัดชาติพันธุ์ตามการวิเคราะห์ด้านมืดประชาธิปไตยของ Mann ปัญหา โรฮิงญาสร้างภาวะอึดอัดใจแก่ทุกฝ่ายที่หวังจะเห็นพัฒนาการประชาธิปไตยในพม่า หลายคนแสดงความผิดหวังอย่างมากต่อท่าทีที่เหมือนนิ่งเฉยปฏิเสธความจริงของอองซานซูจี พวกเขาอยากเห็นเธอแสดงความกล้าหาญทางศีลธรรมมากกว่านี้ แต่กระแสกดดันภายนอกที่เป็นไปในทิศทางเช่นนี้ ก็สะท้อนให้เห็นปัญหากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอีกแบบหนึ่งเช่นกัน
ข้าพเจ้าอยากเชื่อว่าอองซานซูจีซาบซึ้งยิ่งกว่า Rice ว่าประชาธิปไตยในระยะเริ่มแรก "เปราะบางแตกหักง่าย มีทางที่จะเกิดข้อผิดพลาดได้ ไม่ยาก ขาดความสมบูรณ์แบบ และสับสนยุ่งเหยิง" และเชื่อเช่นกันว่าเธอเข้าใจดีถึงหลักสิทธิมนุษยชนอันล่วงละเมิดมิได้ ที่ผลักดันมิตรสหายรอบโลกที่เคยสนับสนุนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของเธอให้หันมากดดันเธอ หรือกระทั่งขุ่นเคืองเธอ และรู้ว่าพวกเขาจะไม่รับฟังข้อแก้ต่างถ้าจะมีใครชี้ให้เห็นถึงสภาวะทางวัฒนธรรมด้านที่คับแคบของคนส่วนใหญ่ในสังคม ที่เธอไม่ได้เป็นคนสร้าง แต่ตกอยู่ในข้อจำกัดของมันในฐานะผู้นำประชาธิปไตยในระยะเปลี่ยนผ่าน
ในข่าวประจำวัน เราพบรายงานปัญหาขั้นวิกฤตของผู้ลี้ภัยโรฮิงญาลงถึงระดับตัวบุคคลและแรงกดดันภายนอกที่ทวีมากขึ้นต่อตัวบุคคลที่พวกเขารู้จักชัดเจนที่สุด และหวังให้เธอออกมายืนหยัดในหลักการอัน ถูกต้องเพื่อไม่ให้ประชาธิปไตยใน พม่าที่กำลังเริ่มต้นต้องตั้งต้นด้วยด้านมืดที่แปรออกมาเป็นวิกฤตด้านมนุษยธรรม แต่ข้อสังเกตของ Rice ข้างต้นที่ว่า "ประเด็นไม่ใช่ว่าจะสร้างเงื่อนไขสมบูรณ์แบบขึ้นมาได้อย่างไร แต่คือคำถามว่าจะเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างไรภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบาก" ก็แสดง Dilemma ในระยะเปลี่ยนผ่านให้อองซานซูจีต้องตัดสินใจเลือก และเธอก็ได้เลือกไปแล้ว ซึ่งอาจจะมีแต่พวกสภาพจริงนิยมทางการเมืองเท่านั้นที่จะเห็นว่าการตัดสินใจของเธอเป็นความกล้าหาญทางศีลธรรมแบบหนึ่งเช่นกัน
กระแสภายนอกที่ยืนหยัดหลักการว่าอธิปไตยไม่ใช่อำนาจที่จะอนุญาตให้ฝ่ายข้างมากใช้กำลังความรุนแรงปราบปรามคนกลุ่มน้อย รู้ว่าสุดท้ายแล้วถ้าไม่แก้ปัญหาที่ต้นทาง พวกเขาก็ไม่อาจรักษาหลักการเสรีนิยมโอบอุ้มผู้ลี้ภัยได้ทั้งหมดโดยไม่สร้างปัญหาภายในสังคมของพวกเขาเองขึ้นมา แต่เมื่อพวกเขาเลือกกดดันและถอนการสนับสนุนอองซานซูจี ก็เท่ากับผลักให้เธอเหลือฐานสนับสนุนที่จะสร้างพลังและอำนาจ ต่อรองในระยะเปลี่ยนผ่านได้จากภายในพม่าเท่านั้น แล้วสถานการณ์ของโรฮิงญาในพม่าจะดีขึ้นได้ไหม
ขอให้ทุกฝ่ายพบคำตอบเหมาะสมก่อนที่ความชาชินในความรุนแรงจะกลืนกินจิตวิญญาณของเราไป n


