posttoday

เอส-เคิร์ฟ คืออะไร

20 กันยายน 2560

ปิยะณัฐ อรัญเกษมสุข ผู้อ่านคงจะเคยได้ยินภาครัฐพูดเรื่อง "เอส-เคิร์ฟ" (S-Curve) หรือ "เอส-เคิร์ฟ ใหม่" (New S-Curve) กันมาบ้าง ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าเกี่ยวกับประเทศไทยยังไง รู้เพียงแต่ว่าเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องมาจากนโยบายประเทศไทย 4.0 ฉบับนี้ผู้เขียนขอใช้พื้นที่ตรงนี้มาทำความเข้าใจกับผู้อ่านทุกท่าน เพราะนโยบาย "เอส-เคิร์ฟ ใหม่" ที่ว่านี้จริงๆ แล้วมีผลโดยตรงกับคนไทย แถมยังจะเป็นหนึ่งในแผนแม่บทที่ประเทศเราใช้ไปอีกหลายปีข้างหน้าเพื่อพัฒนาประเทศให้ทันกับประเทศเพื่อนบ้าน

ปิยะณัฐ อรัญเกษมสุข

ผู้อ่านคงจะเคยได้ยินภาครัฐพูดเรื่อง "เอส-เคิร์ฟ" (S-Curve) หรือ "เอส-เคิร์ฟ ใหม่" (New S-Curve) กันมาบ้าง ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าเกี่ยวกับประเทศไทยยังไง รู้เพียงแต่ว่าเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องมาจากนโยบายประเทศไทย 4.0 ฉบับนี้ผู้เขียนขอใช้พื้นที่ตรงนี้มาทำความเข้าใจกับผู้อ่านทุกท่าน เพราะนโยบาย "เอส-เคิร์ฟ ใหม่" ที่ว่านี้จริงๆ แล้วมีผลโดยตรงกับคนไทย แถมยังจะเป็นหนึ่งในแผนแม่บทที่ประเทศเราใช้ไปอีกหลายปีข้างหน้าเพื่อพัฒนาประเทศให้ทันกับประเทศเพื่อนบ้าน

"เอส-เคิร์ฟ" (S-Curve) เป็นกราฟชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายตัวเอสในภาษาอังกฤษ "S" ใช้อธิบายลักษณะการพัฒนาหรือการเจริญเติบโตของวงจรภาคธุรกิจที่เมื่อเริ่มต้นจะเริ่มจากการโตแบบช้าๆ เพราะในช่วงเริ่มต้นนั้นยังอยู่ในช่วงของการเรียนรู้และตลาดยังเพิ่งเริ่มก่อตัว แล้วจะเติบโตอย่างรวดเร็วในท่อนกลางเพราะเกิดความชำนาญและการสะสมความรู้อย่างเพียงพอ แถมตลาดยังสามารถเติบโตขึ้นได้เรื่อยๆ ในช่วงท้ายสุดของวงจร "เอส-เคิร์ฟ" จะแผ่วปลายในที่สุดเพราะตลาดมาถึงจุดที่โตเต็มที่แล้ว และวงจรธุรกิจจะไม่สามารถเติบโตต่อไปได้อีกถ้าหากไม่มีการสร้าง "เอส-เคิร์ฟ ใหม่" เพื่อมาเชื่อมกับวงจรเดิม

เราจะเห็นได้ว่าอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยนั้นต่ำลงกว่าสมัย 10 ปีที่แล้วมาก จาก 7-8% ต่อปี เหลือเพียง 3-4% ต่อปีเท่านั้น นี่แสดงให้เห็นได้ชัดว่าประเทศไทยของเรานั้นได้เดินมาถึงช่วงท้ายสุดของวงจร "เอส-เคิร์ฟ" แล้ว และถ้าหากเราไม่สามารถหาวงจร "เอส-เคิร์ฟ ใหม่" มาเชื่อมต่อได้ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจะยิ่งตกต่ำลงจนถึงจุดที่ไม่สามารถเติบโตต่อไปได้อีกและจะถูกประเทศเพื่อนบ้านที่เคยด้อยพัฒนากว่าเราแซงในที่สุด

ทุกคนคงไม่อยากเห็นประเทศเดินมาถึงทางตัน ภาครัฐได้เล็งเห็นถึงปัญหานี้และพยายามสร้างนโยบายใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น นโยบาย "ประเทศไทย 4.0" ที่ใช้พัฒนาปัจจัยพื้นฐานของประเทศเพื่อยกระดับความสามารถของประเทศไทยแบบองค์รวม และนโยบาย "เอส-เคิร์ฟ ใหม่" ที่ภาครัฐได้นำเสนอต่อประชาชนนั้นเป็นอีกหนึ่งความพยายามที่จะเชื่อม "เอส-เคิร์ฟ ใหม่" และพัฒนา "เอส-เคิร์ฟ เดิม" เพื่อให้ประเทศไทยนั้นสามารถยกระดับตัวเองไปยุคประเทศไทย 4.0 ได้สำเร็จ โดยมีหลักการง่ายๆ ดังนี้

ให้กำหนด 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (เรียกอีกแบบว่า 10 คลัสเตอร์) เพื่อพัฒนาและต่อยอดให้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต โดยมอบหมายให้กระทรวงหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณามาตรการสนับสนุนแต่ละอุตสาหกรรมต่อไป

5 อุตสาหกรรมแรกจะเป็นการต่อยอดจาก "เอส-เคิร์ฟ เดิม" ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแต่เดิมอยู่แล้วในประเทศ แต่ถึงตอนนี้จำเป็นต้องพัฒนาต่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพในการแข่งขัน ประกอบด้วย อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และอุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร

5 อุตสาหกรรมหลังจะเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่เพื่อให้เป็นอุตสาหกรรมที่จะมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต (New Engine of Growth) ซึ่งเป็นการสร้าง "เอส-เคิร์ฟ ใหม่" เพื่อเชื่อมต่อกับ "เอส-เคิร์ฟ เดิม" ประกอบด้วย อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัล และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร

โดยสรุปแล้วการพัฒนา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายจะทำให้รายได้ของประชากรเพิ่มขึ้น โดยคาดว่า 70% จะมาจากการต่อยอด "เอส-เคิร์ฟ เดิม" และ 30% จะมาจากการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ "เอส-เคิร์ฟ ใหม่"

สำหรับผู้ประกอบการถ้าทราบว่าตนเองอยู่ในอุตสาหกรรมใดที่เกี่ยวข้องกับ 10 อุตสาหกรรมข้างต้นให้ติดตามการออกนโยบายสนับสนุนการลงทุนจากภาครัฐอย่างใกล้ชิด เพราะสิทธิประโยชน์ทางภาษีและการสนับสนุนทางด้านเงินทุนนั้นคงเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของนโยบายนี้ และนโยบายอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น โครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor (EEC) ที่มุ่งเน้นการพัฒนา 10 อุตสาหกรรมที่เป็นหัวใจของ "เอส-เคิร์ฟ เดิม" และ "เอส-เคิร์ฟ ใหม่" จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะผลักดันการสร้างอุตสาหกรรมที่จะเป็นอนาคตของประเทศได้สำเร็จ ซึ่งผู้ประกอบการและผู้ลงทุนที่ขยับตัวก่อนย่อมชิงความได้เปรียบในอนาคต

ภาครัฐเองควรสื่อสารให้มากกว่าที่ผ่านมาเพราะประชาชนและผู้ประกอบการจะได้เตรียมตัวให้พร้อมกับการสนับสนุนและการลงทุนที่จะเกิดขึ้น อีกทั้งควรเชิญตัวแทนผู้ลงทุนจากภาคอุตสาหกรรมต่างๆ และตัวแทนผู้ลงทุนจากต่างชาติเข้ามาร่วมวิเคราะห์และวิจารณ์นโยบายสนับสนุนการลงทุนที่จะประกาศใช้ในอนาคต เพราะไม่มีใครอยากเห็นนโยบายที่ฟังแล้วดูดีแต่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง และอย่าลืมการปรับปรุงร่างกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนหรือการดำเนินการของผู้ประกอบการเพื่อไม่ให้เป็นการขัดขวางการลงทุนในอนาคตที่จะทำให้ผู้ลงทุนโดยเฉพาะจากต่างประเทศหนีไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านของเราแทน n

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด บีจี ปทุม พบ เมืองทอง ฟุตบอลไทยลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68