ซิดนีย์ กับ กรุงเทพฯ
ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทยการเดินทางไปต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นเพื่อการทำงาน หรือเพื่อการท่องเที่ยว ย่อมเป็นกำไรชีวิต เป็นการเปิดหู เปิดตา เปิดสมอง ได้เห็น ได้เรียนรู้วิถีชีวิตของชนชาติอื่น ซึ่งหากได้โอกาสกลับมาพัฒนาบ้านเมืองเราบ้าง ก็จะเป็นประโยชน์มหาศาล สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้มาเยือนนครซิดนีย์ เมืองใหญ่ที่สุดของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีประชากรประมาณ 5 ล้านกว่าคน ขณะที่ทั้งประเทศมีประมาณ 24 ล้านคน ซิดนีย์คล้ายกับกรุงเทพฯ คือ เป็นทั้งเมืองธุรกิจและเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเช่นกัน และซิดนีย์มีอ่าวซิดนีย์ที่สวยงาม ขณะที่กรุงเทพฯ ก็มีแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นทิวทัศน์สำคัญของเมืองเช่นกัน
ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย
การเดินทางไปต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นเพื่อการทำงาน หรือเพื่อการท่องเที่ยว ย่อมเป็นกำไรชีวิต เป็นการเปิดหู เปิดตา เปิดสมอง ได้เห็น ได้เรียนรู้วิถีชีวิตของชนชาติอื่น ซึ่งหากได้โอกาสกลับมาพัฒนาบ้านเมืองเราบ้าง ก็จะเป็นประโยชน์มหาศาล สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้มาเยือนนครซิดนีย์ เมืองใหญ่ที่สุดของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีประชากรประมาณ 5 ล้านกว่าคน ขณะที่ทั้งประเทศมีประมาณ 24 ล้านคน ซิดนีย์คล้ายกับกรุงเทพฯ คือ เป็นทั้งเมืองธุรกิจและเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเช่นกัน และซิดนีย์มีอ่าวซิดนีย์ที่สวยงาม ขณะที่กรุงเทพฯ ก็มีแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นทิวทัศน์สำคัญของเมืองเช่นกัน
ที่ซิดนีย์ ผมมีโอกาสได้ออกกำลังกายตอนเช้าทุกวัน แม้ทำงานดึกแค่ไหน ก็อยากรีบตื่นนอนออกมาวิ่ง เพราะได้วิ่งตลอดแนวทางเลียบอ่าวซิดนีย์ที่สวยงาม ได้วิ่งผ่านทั้งโอเปราเฮาส์ที่มีชื่อเสียง วิ่งผ่านเข้าสวนสาธารณะกลางเมือง และวิ่งข้ามสะพานซิดนีย์ฮาร์เบอร์สัญลักษณ์ของเมือง ข้ามฟากอ่าวไปกลับวันละหลายกิโลเมตร สูดอากาศแสน จะบริสุทธิ์ บอกได้คำเดียวว่า "สุขใจที่สุด" มีแค่เสื้อยืดกับกางเกง และรองเท้าวิ่งธรรมดาหนึ่งคู่ ไม่น่าเชื่อว่ามันจะสร้างความสุขได้ถึงขนาดนี้
ผมได้เห็นผู้สูงอายุเดินจูงมือคุยกัน พลเมืองทุกชนชาติมาออกกำลังกายด้วยกัน ผู้คนที่เห็นผมวิ่งผ่านไปมา ก็คงรู้สึกสงสัย ที่ผมวิ่งไปหยุดถ่ายรูปไปตลอดทาง ดูตื่นเต้น คงเป็นเพราะคนกรุงเทพฯ อย่างเราไม่เคยได้สัมผัสพื้นที่สาธารณะแบบพรีเมียมอย่างนครซิดนีย์เลย ที่มีอยู่ก็เป็นสวนเปลี่ยวใต้สะพาน หรือสวนสาธารณะหลักจำนวนน้อย ซึ่งกว่าจะเข้าถึงได้ ก็คงหมดแรงด้วยรถติด ดังนั้น วันเสาร์-อาทิตย์ และ วันหยุด ก็มีแต่ห้างสรรพสินค้าที่คนกรุงเทพฯ ได้เดินเล่นจนแน่นไปหมด เพราะเราไม่มีทางเลือกอื่นเลย นี่คือความแตกต่างระหว่างซิดนีย์และกรุงเทพฯ อย่างมากที่สุด
ซึ่งจากรายงานของดิอีโคโนมิสต์วารสารชื่อดังของโลก ระบุว่ากรุงเทพฯ มีพื้นที่สาธารณะประมาณ 3 ตร.ม./คน หรือประมาณกว่า 10% เท่านั้น น้อยกว่าทุกเมืองใหญ่ในเอเชีย น่าตกใจมาก น้อยกว่าสิงคโปร์ที่มีพื้นที่สาธารณะถึง 47% ฮ่องกง 40% ซิดนีย์ที่มีถึง 45% และยังเป็นพื้นที่ที่ดีที่สุด อยู่ในศูนย์กลางเมือง เลียบอ่าว และจุดท่องเที่ยวสำคัญ
ที่ซิดนีย์ ผมจึงได้สัมผัสถึง "ความเท่าเทียม" อย่างแท้จริง คนออสเตรเลียยังนิยมเช่าบ้านชั้นเดียวเล็กๆ ค่าเช่าไม่แพง เพราะไม่มีความจำเป็นที่ต้องมีบ้านใหญ่ๆ สนามหญ้ากว้างๆ เพราะทุกพื้นที่มีสวนสาธารณะอย่างเหลือเฟือ ให้ใช้ร่วมกัน แม้กระทั่งสนามเด็กเล่น สนามกีฬา ก็มีอยู่ทุกพื้นที่จริงๆ จึงไม่แปลกใจว่าออสเตรเลียมีเหรียญโอลิมปิกต่อจำนวนประชากรมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก และมีนักกีฬาชั้นยอดชื่อดังนับไม่ถ้วน ก็มาจากเหตุนี้เอง พื้นที่สาธารณะจึงไม่ใช่แค่ "พื้นที่" แต่เปรียบเสมือน "โอกาส" ที่คนได้รับในการใช้ชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้น คนออสเตรเลียจึงไม่ต้องสะสมพื้นที่ส่วนตัว เมื่อไม่ต้องสะสม ก็ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน สังคมก็มีคุณภาพ อีกทั้งรัฐยังดูแลเรื่องสวัสดิการ เรื่องการศึกษา ก็ยิ่งอุ่นใจ
ซิดนีย์ยังเป็นเมืองแห่งความคิดสร้างสรรค์ มีนวัตกรรมของเมือง ขณะที่กรุงเทพฯ ยังมีความคิดสร้างสรรค์ของเมืองน้อย ขณะที่ในเมืองสำคัญทั่วโลกจะมีวันปิดถนนใจกลางเมือง ทุกวันอาทิตย์ ให้คนได้เดินเล่นเต็มถนน ได้ลดทั้งมลภาวะ และยังได้สร้างบรรยากาศสาธารณะของเมืองไปด้วย บางเมืองก็มีวันดนตรี วันกีฬา วันจักรยาน เป็นประจำทุกสัปดาห์ สร้างความรู้สึกเหมือนครอบครัว เหมือนบ้าน ที่น่าอยู่
ที่จริงแล้วใครก็รักกรุงเทพฯ เมืองที่มีคนมาเที่ยวมากที่สุดของโลก ผมเชื่อว่า เรายังสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้กับเมืองแห่งนี้ได้อีกมาก


