posttoday

ต้มกบ

10 สิงหาคม 2560

โดย...จักรพงษ์ เมษพันธุ์ THE MONEY COACH

โดย...จักรพงษ์ เมษพันธุ์ THE MONEY COACH

หากเราจับกบสักตัวหนึ่ง โยนลงในหม้อต้มน้ำที่กำลังเดือด เจ้ากบน้อยของเราจะรีบตะเกียกตะกายหนีออกจากหม้อต้มในทันที ด้วยรู้สึกว่าน้ำในหม้อต้มนั้นร้อนเกินไป

แต่หากเราจับเจ้ากบตัวเดิมวางลงในหม้อที่บรรจุน้ำเย็นที่อุณหภูมิห้อง เจ้ากบตัวนั้นจะนั่งยิ้มหน้าแป้นแล้นสบายใจเฉิบอยู่ในหม้อไม่หนีไปไหน

จากนั้นแม้เราจะค่อยๆ เพิ่มอุณหภูมิน้ำในหม้อให้สูงขึ้นสักเท่าใด ร่างกายของเจ้ากบก็จะยังสามารถปรับตัวอยู่ในน้ำที่ค่อยๆ ร้อนขึ้นได้อย่างสบาย และต่อให้ร้อนขึ้นอีกมากแค่ไหน มันก็ยังอยู่ได้ กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีเจ้ากบน้อยของเราก็ถูกต้มจนเดือด กลายเป็นกบต้มไปเสียแล้ว [1]

ในชีวิตจริงของคนเรานั้น มีคนจำนวนไม่น้อยที่ชอบทำตัวเป็นเหมือนกบในการทดลองนี้

พวกเขาใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่ค่อยใส่ใจกับสัญญาณอันตรายบางอย่างที่กำลังคืบคลานเข้ามา หรือไม่ก็มักฝึกนิสัยตัวเองให้กลายเป็นคนอดทนเก่งเกินจำเป็น ไม่เจ็บ ไม่ร้อง ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ กว่าจะรู้ตัวอีกที ปัญหาที่พอจะแก้ไขได้ หรือพอจะมีทางออก หากลงมือแก้ไขตั้งแต่ต้น ก็มักลุกลามใหญ่โตจนเกินเยียวยา

กบบางตัวถูกที่ทำงานลดเงินเดือนซ้ำถึงสองหน ก็ยังนิ่งไม่ไหวติง ไม่คิดหาทางออกให้ตัวเอง ตรงกันข้าม พวกเขายังคงเป็นกบที่แช่อยู่ในน้ำร้อน แล้วได้แต่สวดภาวนาว่า อะไรๆ น่าจะดีขึ้นในอีกไม่ช้า

ไม่รู้ว่ารักบริษัท หรือไม่กล้าที่จะกระโดด ปล่อยให้สถานการณ์ค่อยๆ เลวร้ายลง เงินเดือนถูกลด เงินทองที่บ้านไม่พอใช้ สุดท้ายต้องพาตัวเองเข้าสู่วงจรหนี้ เพียงเพราะอดทนแข็งใจนั่งอยู่ในหม้อต้ม

กบบางตัวใช้จ่ายมือเติบ บัตรเครดิตที่มีทุกใบใช้เสียเต็มวง จนต้องเริ่มจ่ายขั้นต่ำ แต่ก็ยังเฉย ยังสบาย ไม่นำพาอาวรณ์ใดๆ เพราะอุณหภูมิโดยรวมกำลังอุ่นและสบายดี ที่สำคัญยังไม่หยุดนิสัยใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เปิดบัตรใหม่และยังคงใช้จ่ายหนัก ใช้ชีวิตเหมือนรอวันสุกคาหม้อต้ม

กบบางตัวใช้ชีวิตอยู่กับงานที่ไม่รักไม่ชอบ ใช้ชีวิตแบบซังกะตาย มองไปไม่เห็นหนทางก้าวหน้า แต่ก็ยังทำงานที่ว่าอยู่นั่นแหละ ไม่หนี ไม่เปลี่ยน แล้วก็เอาแต่พร่ำบ่น บ่นงาน บ่นชีวิต บ่นทุกสิ่งที่นึกออก

วันนี้ชีวิตเราเป็นอย่างไร? นั่นคือสิ่งที่เราควรหมั่นทบทวนอยู่เสมอ

“ความดูดาย” หรือ “เมินเฉย”​ ต่อความเป็นไปในชีวิต จนกลายเป็น “ความเคยชิน” คือ กับดักที่อันตรายที่สุด เพราะหากมองดูโดยผิวเผินแล้ว มันอาจทำให้เรารู้สึกสบาย ไม่เหนื่อย ไม่ลำบาก เพราะไม่ต้องปรุงหรือเปลี่ยนแปลงอะไร 

แต่มองอีกมุมหนึ่ง มันคือจุดเริ่มต้นของการยอมแพ้และปล่อยให้ตัวเองถูกกลืนกินโดยสภาวะแวดล้อม ซึ่งถือได้ว่าอันตรายต่อชีวิตอย่างมาก

สมชายและวิรุฬห์ (นามจริง) สองกบเพื่อนสนิท ที่ใช้ชีวิตแบบเดือนชนต้นเดือน เพราะมีชีวิตอยู่ด้วยการกู้เงินฉุกเฉินจากสหกรณ์

วันเงินเดือนออก คือ วันกู้เงินเลี้ยงชีวิต เพราะด้วยหนี้สินจำนวนมาก ทำให้รายรับของกบทั้งสองถูกหักไปจนเกือบหมด ไม่มีเหลือ จากรายได้ร่วมสองหมื่นบาท เหลือติดบัญชีในวันเงินเดือนออกเพียงไม่กี่พันบาท คนรวยใช้สหกรณ์ออมทรัพย์เป็นแหล่งออมดอกเบี้ยสูง แต่สมชายและวิรุฬห์เลือกใช้มันเป็นแหล่งเงินกู้เลี้ยงชีวิต

ผมได้พบกับกบทั้งสองในวันที่ทางบริษัทของเขาเชิญผมไปบรรยายเรื่องการบริหารหนี้ ยอมรับตามตรงว่า เป็นการบรรยายที่น่าเบื่อมาก คนจัดไม่ได้เรียนและคนเรียนไม่ได้อยากเรียน เพราะไม่มีใครที่อยากให้คนอื่นรู้สถานะทางการเงินของตัวเอง

ทั้งๆ ที่ผมได้ข้อมูลมาจากผู้จัดการสัมมนาว่า ทั้ง 80 คนที่เข้ามาเรียนวันนั้น คือ คนที่บริษัทช่วยปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารของรัฐแห่งหนึ่งให้ โดยบริษัทเป็นผู้ค้ำประกันเพื่อขอวงเงินกู้จำนวนหนึ่งให้กับพนักงานที่ติดปัญหาหนี้สินจนถึงขั้นทำงานไม่ได้ เพราะถูกติดตามทวงถามอยู่ทุกวัน

เมื่อสภาพการณ์เป็นไปดังที่กล่าวข้างต้น จึงไม่แปลกที่หลังเลิกสัมมนา คนทั้งห้องแทบจะลุกขึ้นและเดินออกจากประตูไปจากรวดเร็ว ตรงกันข้ามกับคนอื่นๆ สมชายและวิรุฬห์เดินเข้ามาพูดคุยกับผม และบอกกับผมว่า ต้องการที่จะหยุดชีวิตเฮงซวยแบบนี้และไม่อยากเป็นกบที่ต้องตายเพราะน้ำร้อน (ช่วงหนึ่งของการบรรยายผมเล่าเรื่องกบต้ม เพื่อปลุกให้คนทั้งห้องคิดที่จะสู้กับหนี้ที่เป็นอยู่ แต่ท่าทางจะไม่ได้ผล… ฮา)

ผ่านมาร่วม 3 ปี วันนี้สมชายและวิรุฬห์ ก็ยังทำงานอยู่ที่เดิม แต่ทำงานด้วยความสุขที่มากขึ้น เพราะไม่มีหนี้ ทั้งสองคนเลิกทั้งบุหรี่และพนันบอล ที่เคยติดมาตลอดหลายปี แล้วหันมาเก็บออมเงินและมีพอร์ตกองทุนรวมของตัวเองทั้ง กองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)

ทั้งสองโทรมาเขียนอีเมลขอบคุณที่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปในทางที่ดี และไม่ต้องมีชีวิตที่จมอยู่กับกองหนี้อีกต่อไป

80 คน ได้ผลลัพธ์ที่จับต้องได้แค่ 2 คน อาจดูน้อยไปสักนิด แต่เมื่อนึกถึงความเป็นจริงที่ว่า “เราช่วยใครให้มีชีวิตที่ดีขึ้นไม่ได้ ถ้าเขาไม่อยาก” ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้

สุดท้าย “คน” กับ “กบ” มันก็ต่างกันตรงที่ การรู้จัก “คิด”​ รู้จัก “เอะใจ” กับชีวิตนั่นแหละ ถ้าเป็นคนคงอยู่ไม่ได้ หากต้องนั่งอยู่ในหม้อต้มน้ำที่อุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าเป็นกบ มันก็คงบอกว่า อุ่นๆ และกำลังสบายดี

แล้วคุณล่ะ ตอนนี้รู้สึกอย่างไร อุ่นๆ และกำลังสบายดีหรือเปล่า?

[1] The Boiled Frog Theory by Tichyand Sherman (1993) : ภายหลังมีการโต้แย้งกันอยู่เหมือนกันว่า ทฤษฎีนี้เป็นจริงหรือไม่

ข่าวล่าสุด

บอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด โปรแกรมฟุตบอล วันอังคารที่ 16 ธ.ค. 68