posttoday

คลังสอบลงโทษวินัยร้ายแรงละเว้นเก็บภาษีหุ้นทักษิณ

04 สิงหาคม 2560

คลังตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงละเว้นเก็บภาษีหุ้นทักษิณ โทษหนักไล่ออกและชดใช้ค่าเสียหาย

คลังตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงละเว้นเก็บภาษีหุ้นทักษิณ โทษหนักไล่ออกและชดใช้ค่าเสียหาย

นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร 2-3 คน ที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่เก็บภาษีจากการซื้อขายหุ้นของอดีตนายกรัฐมนตร นายทักษิณ ชินวัตร ก่อนหน้านี้ได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงและผลสอบออกมาพบว่ามีมูลการละเว้นปฏิบัติหน้าที่

"การตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงรอบนี้ เป็นระดับเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง ส่วนอดีตผู้บริหารระดับสูงของกรมสรรพากรยังไม่มีการตั้งกรรมการสอบ เพราะต้องพิจารณาว่ามีเจตนาเกี่ยวข้องหรือไม่ อาจจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบอีกครั้ง" นายสมชัย กล่าว

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หากคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงพบว่าเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรมีความผิด ก็ต้องพิจารณาว่าจะให้ออกหรือไล่ออกจากราชการ และต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการรับผิดทางแพ่ง เรียกค่าเสียหายจากการเก็บภาษีไม่ได้จากผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป

ทั้งนี้ การสอบข้อเท็จจริงการละเว้นเก็บภาษีหุ้นดังกล่าว มีนายยุทธนา หยิมการุณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ประธานตรวจสอบ โดยผลสอบแยกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือการสอบกรณีที่กรมสรรพากรไม่ยื่นอุทธรณ์ศาลภาษีอากรให้นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ให้เสียภาษีจากการซื้อขายหุ้น ผลสอบระบุชัดเจนว่า ผู้บริหารสรรพากรภาค 3 มีการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ในเรื่องนี้ เพราะเป็นอำนาจหน้าที่โดยตรง รวมถึงมีระเบียบของกรมสรรพากรว่าต้องทำการยื่นอุทธรณ์ศาลในทุกกรณี

นอกจากนี้ ผลสอบยังตั้งข้อสังเกตว่า ผู้บริหารกรมสรรพากรในขณะนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับการไม่ยื่นอุทธรณ์เรื่องดังกล่าวด้วย ส่วนจะมีการพิจารณาตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปลัดกระทรวงการคลัง

สำหรับส่วนที่สองเป็นการสอบกรณีที่กรมสรรพากรไม่ทำการประเมินเก็บภาษีจากการซื้อขายหุ้นจากอดีตนายกรัฐมนตรี ผลสอบชี้ว่า ผู้บริหารกรมสรรพากรมีความพยายามที่จะไม่ประเมินภาษี ซึ่งปลัดคลังจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงกับผู้ที่เกี่ยวข้องหรือไม่

ก่อนหน้านี้ กรมสรรพากรได้ตรวจและอายัดทรัพย์นายทักษิณ หลังจากไม่ยอมชำระภาษีจากการซื้อขายหุ้นเมื่อปี 2549 รวมภาษีและค่าปรับ 1.7 หมื่นล้านบาท ถือว่าเป็นหนี้ภาษี โดยสรรพากรจะต้องอายัดทรัพย์มาชำระภาษีและค่าปรับให้ครบจำนวน แต่ทรัพย์ที่อายัดมาได้มีมูลค่าไม่กี่ล้านบาท