posttoday

ยุคดีเซลใกล้ปิดฉาก ค่ายรถแบกทุนอ่วม

02 สิงหาคม 2560

ชญานิศ ส่งเสริมสวัสดิ์ค่ายรถยนต์ โดยเฉพาะในยุโรปกำลังเผชิญกับแรงกดดันให้ยกระดับเทคโนโลยีดีเซลให้ได้มาตรฐานสิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งเลิกผลิตรถยนต์ดีเซล และหันไปผลิตรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า หลังเผชิญข่าวฉาวในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้ค่ายรถยนต์เหล่านั้นต้องใช้ต้นทุนมหาศาลในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า หรืออัพเกรดเทคโนโลยีเดิมให้ปล่อยมลพิษน้อยลง

ชญานิศ ส่งเสริมสวัสดิ์

ค่ายรถยนต์ โดยเฉพาะในยุโรปกำลังเผชิญกับแรงกดดันให้ยกระดับเทคโนโลยีดีเซลให้ได้มาตรฐานสิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งเลิกผลิตรถยนต์ดีเซล และหันไปผลิตรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า หลังเผชิญข่าวฉาวในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้ค่ายรถยนต์เหล่านั้นต้องใช้ต้นทุนมหาศาลในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า หรืออัพเกรดเทคโนโลยีเดิมให้ปล่อยมลพิษน้อยลง

เพราะโลกเดินทางมาถึง "จุดเปลี่ยน"

กลางเดือน ก.ย. 2015 ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากเยอรมนีเผชิญกับข่าวฉาวที่จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนของพลังงานดีเซล หลังสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐ (อีพีเอ) ประกาศว่า โฟล์คสวาเกนค่ายรถชื่อดังโกงการทดสอบมลพิษด้วยการติดตั้งซอฟต์แวร์ให้การแสดงผลการปล่อยก๊าซไนโตรเจนออกไซด์น้อยกว่าความเป็นจริงเพื่อผ่านบททดสอบ แต่เมื่อผู้ใช้นำไปขับขี่จริงกลับปล่อยมลพิษมากกว่ามาตรฐานที่ตั้งไว้ถึง 40 เท่า

4 วันต่อมา โฟล์คสวาเกนออกมายอมรับความผิดดังกล่าว และส่งผลให้หุ้นร่วงลงถึง 40% ภายในเวลาแค่ 2 วัน ขณะที่ยังทำให้โฟล์คสวาเกนต้องเสียต้นทุนทางกฎหมายสำหรับค่าปรับและค่าชดเชยให้กับผู้บริโภครวมกันมากถึง 1.75 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.7 แสนล้านบาท) และยังทำให้โฟล์คสวาเกนขาดทุนในปีนั้นเกือบ 1,600 ล้านยูโร (ราว 6.2 หมื่นล้านบาท) หลังไม่ได้ขาดทุนมายาวนานถึง 20 ปี

ข่าวอื้อฉาวไม่ได้ยุติอยู่แค่โฟล์คสวาเกน ความสงสัยและการปราศจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังลามไปถึงค่ายรถยนต์อื่นๆ เช่น เดมเลอร์ เจ้าของเมอร์เซเดส-เบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยู และยังรวมไปถึงรถยนต์หรูในเครือโฟล์คสวาเกนอย่างออดี้และปอร์เช่ หลังนิตยสารสปีเกลของเยอรมนีเปิดเผยว่าธุรกิจรถยนต์ยักษ์ใหญ่ร่วมมือกันผูกขาดตลาดมาโดยตลอด ซึ่งรวมถึงความร่วมมือด้านเทคโนโลยีดีเซล

เดมเลอร์เรียกคืนรถยนต์มากกว่า 3 ล้านคัน เพื่อนำไปอัพเดทเทคโนโลยีและสร้างความเชื่อมั่นกับผู้บริโภค ท่ามกลางเรื่องอื้อฉาวที่สะพัดในวันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ต่อมากระทรวงคมนาคมเยอรมนีได้สั่งให้ปอร์เช่เรียกคืนรถยนต์รุ่นคาเยนน์และมาคันน์ 2.2 หมื่นคัน เมื่อวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา หลังพบว่าใช้ซอฟต์แวร์เพื่อปกปิดระดับมลพิษเกินมาตรฐาน โดยรถยนต์รุ่นดังกล่าวเป็นรถที่อยู่ระหว่างการผลิต ดังนั้นทำให้ปอร์เช่ต้องระงับการขายออกไปก่อนจนกว่าจะสามารถพัฒนาให้ปล่อยมลพิษน้อยลง

สหภาพยุโรป (อียู) มีกฎเข้มงวดในด้านมลพิษ โดยออกกฎใหม่เตรียมจะปรับค่ายรถที่ขายรถยนต์มลพิษเกินระดับคันละ 3 หมื่นยูโร (ราว 1.1 ล้านบาท) หลังปี 2015 อียูออกมาตรฐานยูโร-6 ซึ่งอนุญาตให้รถยนต์ดีเซลปล่อยมลพิษได้ไม่เกิน 80 มิลลิกรัม/กิโลเมตร เมื่อเทียบกับมาตรฐานเดิมยูโร-5 ที่ 180 มิลลิกรัม/กิโลเมตร และผู้ผลิตรถยนต์เยอรมนีก็ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานดังกล่าวด้วย

ความอื้อฉาวในวงการอุตสาหกรรมรถยนต์เยอรมนีนำไปสู่การเจรจาประนีประนอมกับรัฐบาลเยอรมนีเมื่อวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา ท่ามกลางแรงกดดันให้รัฐบาลแบนรถยนต์รุ่นที่ปล่อยมลพิษเกินมาตรฐานออกไปจาก ท้องถนนอย่างเด็ดขาด โดยหากค่ายรถต้องเรียกคืนเพื่อนำมาเปลี่ยนตัวเครื่องยนต์ เช่น ตัวถังให้มีความใหญ่ขึ้นสำหรับเพิ่มของเหลวที่ใช้ในการลดมลพิษ จะทำให้ค่ายรถต้องแบกรับต้นทุนในส่วนดังกล่าวมากถึง 1 หมื่นล้านยูโร (ราว 3.9 แสนล้านบาท) สำหรับการเปลี่ยนรถยนต์ดีเซลในท้องถนนหลายล้านคันทั่วยุโรปปัจจุบัน

ผลการเจรจาเมื่อวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลเยอรมนีและค่ายรถยนต์ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ให้ค่ายรถเรียกคืนรถดีเซลมากกว่า 5 ล้านคัน ที่ผลิตนับตั้งแต่ปี 2009 มาอัพเดทซอฟต์แวร์เพื่อลดการปล่อยก๊าซไนโตรเจนออกไซด์แทนการเปลี่ยนทั้ง ตัวเครื่อง โดยตัวเลขรถยนต์ดังกล่าวมากกว่า 2 ล้านคัน ที่แหล่งข่าวภายในรัฐบาลเยอรมนีเปิดเผยก่อนหน้าการประชุม ซึ่งเท่ากับว่าค่ายรถจะต้องเสียเงินเพิ่มอีกเท่าตัวจากที่คำนวณในที่แรกที่ 300 ล้านยูโร (ราว 1.1 หมื่นล้านบาท)

ไม่เพียงเท่านั้น ค่ายรถยนต์ยังจะร่วมมือกันเพื่อจัดตั้งกองทุนไม่ระบุมูลค่าเพื่อสนับสนุนการสัญจรอย่างยั่งยืนภายในเยอรมนี ขณะที่ค่ายรถบางค่ายอย่างบีเอ็มดับบลิวยังจะเสนอให้เงิน 2,000 ยูโร (ราว 7.8 หมื่นบาท) กับเจ้าของรถยนต์ดีเซลที่ผลิตก่อนปี 2009 หากเจ้าของรถนำรถยนต์เก่าคันดังกล่าวมาขายเพื่อเปลี่ยนเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรือไฮบริดแทน

นอกจากนี้ แหล่งข่าวในรัฐบาลเยอรมนี ยังระบุด้วยว่า อุตสาหกรรมรถยนต์จะช่วยจ่ายเงินร่วมกับรัฐบาลตั้งกองทุน 500 ล้านยูโร (ราว 1.9 หมื่นล้านบาท) เพื่อช่วยเหลือรัฐบาลท้องถิ่นในการจัดการกับมลพิษทางอากาศ ซึ่งมลพิษจากเครื่องยนต์ดีเซลส่ง ผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ

การประนีประนอมของรัฐบาลเยอรมนีที่ไม่ "เร่งรัด" ให้ค่ายรถยนต์ต้องจำยอมเลิกผลิตรถยนต์ดีเซล นอกจากจะเป็นการช่วยเหลืออุตสาหกรรมที่เป็นกำลังหลักของเศรษฐกิจแล้ว ยังซื้อเวลาให้กับค่ายรถยนต์ในการปรับตัวเพื่อเข้าพลังงานทางเลือกมากยิ่งขึ้น เช่น รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในหมู่ผู้บริโภคในปัจจุบัน

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ โฟล์คสวาเกนที่ต้องเร่งปรับภาพลักษณ์เป็นการด่วนหลังเผชิญข่าวอื้อฉาวมาตลอดเกือบ 2 ปี โดยโฟล์คสวาเกนประกาศเมื่อปลายปี 2016 ที่ผ่านมา จะปรับลดพนักงาน 3 หมื่นอัตรา เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายราว 3,700 ล้านยูโร (ราว 1.4 แสนล้านบาท) ซึ่งจะนำไปลงทุนในการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า

นอกจากนี้ รอยเตอร์ส ยังรายงานว่า ออดี้ หนึ่งในรถยนต์ที่ทำเงินที่สุดให้กับค่ายโฟล์คสวาเกน จะปรับลดต้นทุนราว 1 หมื่นล้านยูโร (ราว 3.9 แสนล้านบาท) ในส่วนการวิจัยและพัฒนา เพื่อนำไปลงทุนในรถยนต์ SUV พลังงานไฟฟ้าที่จะเริ่มประกอบร่างภายในปี 2018

อย่างไรก็ตาม เวลาสำหรับค่ายรถยนต์เหล่านั้นเริ่มน้อยลงไปทุกที เมื่อหลายแห่งในโลกเริ่มคุมเข้มมลพิษมากขึ้น โดยเมืองสตุทการ์ท ในเยอรมนี มาตุภูมิของเมอร์เซเดส-เบนซ์ และปอร์เช่ ไม่รอท่าเริ่มต้นนำรัฐบาลกลางไปก่อน และจะห้ามขายหรือกำหนดโควตาขายรถยนต์ดีเซลภายในปีหน้า ขณะที่อังกฤษ วางแผนใหญ่จะห้ามขายรถยนต์ที่ใช้ดีเซลและน้ำมันภายในปี 2040

ความเคลื่อนไหวเพื่อลดมลพิษยังได้แรงสนับสนุนจากความตกลงสภาพอากาศปารีส ซึ่งทำให้รัฐบาลหลายแห่ง เช่น ฝรั่งเศสและนอร์เวย์ เริ่มประกาศแผนการลดมลพิษ และให้การสนับสนุนการขายรถยนต์อิเล็กทรอนิกส์หรือพลังงานไฮบริด จึงไม่แปลกที่ค่ายรถยนต์จะต้องหันไปลงทุนเพิ่มในการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรือไฮบริด

การสนับสนุนของรัฐเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้ก้าวขึ้นมา และค่ายรถก็ต้องปรับตัวรับให้ทันกับ "ความเปลี่ยนแปลง" นี้ ความเปลี่ยนแปลงซึ่ง "ข่าวอื้อฉาว" และ "ด้านมืด" ของอุตสาหกรรมกลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา n

ข่าวล่าสุด

ญี่ปุ่นเตรียมเดินเครื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดของโลกอีกครั้ง หลังเหตุฟุกุชิมะ 15 ปี