ดูเซียวเหล่งนึ่ง แล้วย้อนดูไทย
เมื่อพูดถึงละครทีวีไทยที่มีบทพระเอกข่มขืนปลุกปล้ำนางเอกทีไร ผมจะนึกถึงเซียวเหล่งนึ่งทุกที
เมื่อพูดถึงละครทีวีไทยที่มีบทพระเอกข่มขืนปลุกปล้ำนางเอกทีไร ผมจะนึกถึงเซียวเหล่งนึ่งทุกที
เซียวเหล่งนึ่งเป็นนางเอกในอมตะนิยาย "มังกรหยก 2" ของกิมย้ง ซึ่งถูกนำมาทำเป็นละครฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ต่างจากนิยายดังๆ บ้านเรา
ครั้งหนึ่ง อ้าวเอี้ยงฮงพ่อบุญธรรมของเอี้ยก้วยต้องการถ่ายทอดวิชาให้เอี้ยก้วย แต่กลัวเซียว เหล่งนึ่งแอบดูเคล็ดวิชาจึงสกัดจุดเธอไว้ แล้วนำเอี้ยก้วยไปถ่ายทอดวิชาในที่ไกลออกไป แต่แล้วนักพรตอี้จี่เพ้งก็มาพบเซียวเหล่งนึ่งในสภาพแน่นิ่ง อี้จี่เพ้งที่แอบหลงรักเซียวเหล่งนึ่งมานานห้ามใจไม่ไหว จึงฉวยโอกาสแอบนำผ้าปิดตาเซียวเหล่งนึ่งแล้วทำมิดีมิร้ายกับเธอ
เซียวเหล่งนึ่งจึงไม่รู้ว่าใครมาทำเช่นนั้น แต่พานเข้าใจผิดคิดว่าเอี้ยก้วยที่เธอมีใจให้เป็นผู้กระทำ ส่วนเอี้ยก้วยเมื่อกลับมาคลายจุดให้เซียวเหล่งนึ่งก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง ทั้งสองคนเข้าใจผิดกัน จนภายหลังเซียวเหล่งนึ่งได้รู้ความจริง จึงเคียดแค้นนักพรตอี้จี่เพ้งยิ่ง
แม้เคียดแค้นแต่นางกลับทำอะไรไม่ถูก นางสะกดรอยอี้จี่เพ้งนักพรตสารเลวอยู่นาน จะฆ่ารึก็ทำไม่ลงเพราะนางไม่เคยสังหารใครมาก่อน จนท้ายสุดนักพรตอี้จี่เพ้งต่างหากที่สำนึกว่าตนได้ทำผิดต่อคนที่ตัวเองหลงรักอย่างให้อภัยไม่ได้ นักพรตอี้จี่เพ้งจึงฆ่าตัวตาย
แม้เซียวเหล่งนึ่งจะรู้สึกด่างพร้อย ไม่อยากอยู่กับเอี้ยก้วยอีกต่อไป แต่สุดท้าย เอี้ยก้วยก็ยังคงรักและยอมรับในตัวเซียวเหล่งนึ่ง
หลายคนใจแทบสลายกับพล็อตนี้ เมื่อนางเอกสูญเสียพรหมจรรย์ให้กับชายอื่นที่ไม่ใช่พระเอก โดยเฉพาะในเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่าคือการข่มขืนรูปแบบหนึ่ง
ฉากนี้เป็นขบถต่อการสลักเสลาพระเอกนางเอกในวัฒนธรรมตะวันออกอย่างไม่ไยดีผู้อ่าน ไม่ว่าในวัฒนธรรมจีนหรือไทย
อันที่จริง กิมย้ง-ผู้ประพันธ์จงใจใส่ความขบถอีกหลากหลาย ทั้งในเรื่องความรักระหว่างเอี้ยก้วยและเซียวเหล่งนึ่งที่เป็นความรักระหว่างลูกศิษย์หนุ่มกับอาจารย์สาว และฝ่ายชายยังอายุน้อยกว่าฝ่ายหญิง อีกทั้งเอี้ยก้วยยังเป็นลูกของเอี้ยคัง-ตัวร้ายของมังกรหยกภาคแรก และสุดท้ายเอี้ยก้วยต้องกลายเป็นพระเอกที่พิการแขนขาด
เหมือนกิมย้งจะถามผู้อ่านอย่างท้าทายว่าเขาและเธอยังเป็นพระเอกนางเอกของผู้อ่านได้หรือไม่?
คำตอบคงอยู่ในใจทุกคนแล้ว แม้จะเป็นคำตอบที่กระอักกระอ่วนใจสำหรับใครหลายคน แต่เหตุการณ์ทั้งหมดกลับทำให้ทุกคนตราตรึงใจกับวิถีแห่งความรักของพระนางคู่นี้
ย้อนกลับมามองนิยายไทยบางเรื่องแพร๊บ...
ตัวผมเองเป็นผู้เริ่มรณรงค์ "เลิกเผยแพร่การล่อลวงข่มขืนว่าเป็นสิ่งปกติ" ใน Change.org และมีเฟซบุ๊กแฟนเพจที่ชื่อว่า "ข่มขืนผ่านจอพอกันที" เพื่อรณรงค์ให้สื่อเลิกเผยแพร่คติผิดๆ เกี่ยวกับการข่มขืน
เพราะเชื่อว่า หากเรายังปล่อยผ่านละครหรือนิยายที่มีพล็อตพระเอกข่มขืนนางเอกแล้วจบกันอย่างแฮปปี้เอนดิ้งได้ ก็แสดงว่าสื่อและสังคมกำลังตีสองหน้า แม้เราจะตะโกนด่าว่าและแสดงความเคียดแค้นต่ออาชญากรที่ลงมือข่มขืนในชีวิตจริงอย่างรุนแรงแค่ไหนก็ตาม
ความย้อนแย้งนี้ของสังคมไทยอาจเป็นเพราะเรารู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิต มากกว่าความรู้สึกเห็นใจในเหยื่อที่ถูกข่มขืน
เราจึงยังอนุญาตให้สื่อละครเคลือบการข่มขืนให้เป็นความบันเทิงที่ยอมรับได้ เช่น พระเอกข่มขืนได้ ข่มขืนด้วยความรักได้ ล่วงละเมิดทางเพศเพื่อดับความแก่นเฟี้ยวของตัวละครหญิงได้ หรืออนุญาตให้ลงโทษนางร้ายด้วยการข่มขืนได้ เป็นต้น
บันเทิงขนาดไหน เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนักแสดงรายหนึ่งที่ร่วมแสดงในละครเรื่อง "ล่า" (ซึ่งที่จริงเป็นละครที่เสนอว่าการข่มขืนคือสิ่งเลวร้าย) ยังนำมาโพสต์ให้การข่มขืนเป็นเรื่องล้อเล่นได้ และมีสาวๆ ตามกรี๊ดโพสต์นั้นเสียด้วย
คำต่อว่านักแสดงรายนั้นก็จำเป็น แต่หันกลับมามองเราทุกคนในสังคมไทยอาจจะพบว่าเราต่างเป็นเหยื่อในด้านใดด้านหนึ่งของคตินี้อยู่เช่นกัน
ข่าวการข่มขืนที่โด่งดังมักเป็นเพียงมุมเดียวของคดีข่มขืนเท่านั้น โดยต้องสะเทือนขวัญ ผู้กระทำมีฐานะและหน้าตา "สมเป็น" อาชญากรในหัวเรา หรือไม่ก็ต้องดูโหดร้ายเพราะกระทำต่อเด็กหรือบุคคลที่อ่อนแอ และมักพ่วงด้วยฆาตกรรม
แต่ยังมีกรณีการข่มขืนอีกมากที่ไม่เป็นข่าว และไม่ตรงกับพล็อตที่เรียกเสียงเคียดแค้น เช่น ถ้าอาชญากรมีฐานะ หน้าตา หรือการศึกษาดี เหยื่อก็มีสิทธิถูกลดเครดิตให้กลายเป็นผู้ต้องสงสัยว่าวางแผนหลอกหรือยินดีในผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการเรียกร้องเอาผิดจากอาชญากรได้
หลายคดีจึงถูกลดระดับให้กลายเป็นเรื่องสมยอม และชดใช้ค่าเสียหายกันแบบไทยๆ หรือเหยื่ออาจไม่เห็นหนทางที่จะทำอะไรได้ นอกจากจะต้องได้รับความอับอาย จนเลือกที่จะเงียบเอง
นี่ยังไม่รวมถึงความซับซ้อนของคติของการ "สมยอม" ที่เราถูกบ่มเพาะง่ายๆ ว่าถ้าไม่ยินยอมต้องต่อสู้ดิ้นรน ซึ่งในสถานการณ์จริงเหยื่ออาจจะไม่กล้าขัดขืนเพราะกลัวโดนทำร้ายถึงตาย หรืออาจตกอยู่ในสภาพช็อก ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ แต่กลับถูกตีความว่าสมยอม
กรณีเซียวเหล่งนึ่ง เอี้ยก้วย และอี้จี่เพ้ง จึงสะท้อนคดีการข่มขืนในมุมที่แตกต่างออกไป อี้จี่เพ้งไม่ใช่คนเลวโดยสันดาน ทำไปเพราะหลงรักและหลงใหลในตัวเซียวเหล่งนึ่ง สุดท้ายก็ต้องรู้ว่าพฤติกรรมนี้ไม่ได้ทำให้ได้ความรักมา แต่กลับทำให้คนที่ตัวเองหลงรักทุกข์ทรมาน เซียวเหล่งนึ่งก็ไม่ได้มีอาการขัดขืนทั้งเพราะโดนสกัดจุดและเข้าใจผิดว่าคนกระทำเป็นเอี้ยก้วย
แน่นอนว่า โลกไม่ได้สวยงามขนาดที่ว่าจีนมีเซียวเหล่งนึ่งและเอี้ยก้วยแล้วปัญหาการข่มขืนในสังคมจีนจะหมดไป แต่มันแสดงให้เห็นว่าเขามองการข่มขืนต่างจากขนบของนิยายไทยหลายเรื่อง และไม่ปล่อยให้คติพิสดารเช่นนี้ลอยนวล
เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา นอกจากข่าวข่มขืนที่โหดร้ายตามคติไทยๆ ตำรวจจีนยังเอาลูกเศรษฐีที่มอมยาสาวมาขืนใจเข้าคุกไปด้วยเช่นกัน
และเชื่อเถอะครับว่าในยุคนี้ พล็อตที่เผยแพร่เรื่องข่มขืนด้วยทัศนคติผิดๆ มีอยู่ในไทยอย่างรุนแรงและแข็งแกร่งที่สุด
เพราะจากการไปรณรงค์และเสวนาหลายต่อหลายครั้งในประเด็นนี้ ก็ยังคงมีหลายคนนิ่งเฉย และคิดกันไปว่าผู้ชมแยกแยะกันเองได้ว่าอันไหนชีวิตจริงอันไหนละคร
แล้วความนิ่งเฉยก็ทำให้เยาวชนยุคนี้จำนวนมากสานต่อพล็อตแบบนี้สร้างความโรแมนติกในตลาดนิยายหรือการ์ตูนวัยใสของไทยจำนวนมาก
ซึ่งนี่คือผลของการนิ่งเฉย
มีแฟนเพจท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า มีนักเขียนนิยายภาษาจีนที่เป็นเยาวชนไทยนำพล็อตตบจูบปลุกปล้ำนางเอกไปเขียนในเว็บไซต์นิยายของจีน ผลปรากฏว่า นักอ่านนิยายชาวจีนด่าว่าและไล่ตะเพิด ว่าพระเอกจะมีพฤติกรรมเลวทรามแบบนี้ได้อย่างไร
ผมไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอะไรกับนักเขียนเยาวชนคนนั้นและกลับเข้าใจเสียอีก เพราะสังคมไม่เคยบอกและปล่อยผ่านเรื่องแบบนี้ไป จนเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น
ผมรับรู้เรื่องนี้ด้วยความละอายในสังคมที่ตัวเองอาศัยอยู่ที่ปล่อยให้เยาวชนและคนจำนวนมากเห็นคติแบบนี้เป็นเรื่องปกติ และจะละอายมากกว่านี้อีกถ้าเราต่างยังนิ่งเฉย
และเราจะแก้ไขปัญหานี้ได้ไม่ยากก็ด้วยการช่วยกันลุกขึ้นมาพูดลุกขึ้นมาทำ ต่อต้านนิยายและละครที่มีคติผิดๆ และเผยแพร่คติที่สังคมต้องการให้กว้างขวางออกไป n


