สอบฮั้วรถยุโรป เขย่าศก.เมดอินเยอรมนี
นันทิยา วรเพชรายุทธ"ดีเซลเกต" (Dieselgate) หรือวิกฤตการณ์ค่ายรถยนต์สัญชาติเยอรมันโกงผลการทดสอบปล่อยไอเสียในกลุ่มรถยนต์ดีเซล เมื่อปี 2015 นับเป็นวิกฤตการณ์ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งต่อวงการยานยนต์เมืองเบียร์ ที่ถือเป็นอุตสาหกรรมหัวใจสำคัญในฐานะที่สร้างรายได้ถึง 20% ของอุตสาหกรรมทั้งหมดในเยอรมนี และมีการจ้างงานทั่วประเทศถึง 8 แสนอัตรา
นันทิยา วรเพชรายุทธ
"ดีเซลเกต" (Dieselgate) หรือวิกฤตการณ์ค่ายรถยนต์สัญชาติเยอรมันโกงผลการทดสอบปล่อยไอเสียในกลุ่มรถยนต์ดีเซล เมื่อปี 2015 นับเป็นวิกฤตการณ์ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งต่อวงการยานยนต์เมืองเบียร์ ที่ถือเป็นอุตสาหกรรมหัวใจสำคัญในฐานะที่สร้างรายได้ถึง 20% ของอุตสาหกรรมทั้งหมดในเยอรมนี และมีการจ้างงานทั่วประเทศถึง 8 แสนอัตรา
ปัญหาดังกล่าวยังคงยืดเยื้อ ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เพราะแม้เบอร์ใหญ่ในคดีนี้อย่าง "โฟล์คสวาเกน" จะเพิ่งจบคดีในส่วนความเสียหายทางแพ่งไปเมื่อต้นปี ด้วยการยอมจ่ายค่าปรับถึง 4,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.5 แสนล้านบาท) ให้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ แต่กรณีของอีกหลายบริษัทยังไม่ได้จบตามไปด้วย เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐเริ่มขยายผลโดยยื่นฟ้องเคสเดียวกันนี้ไปยังอีกบางบริษัท อาทิ เฟียต-ไครสเลอร์ และเดมเลอร์ อีกด้วย
ที่สำคัญก็คือ ปัญหาดีเซลเกตเมื่อ 2 ปีก่อนอาจกำลัง "บานปลาย" ขยายวงไปสู่วิกฤตการณ์ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมในวันนี้
คณะกรรมการต่อต้านการผูกขาดของสหภาพยุโรป เปิดเผยเมื่อเร็วๆ นี้ว่า กำลังอยู่ระหว่างการสอบสวน "ข้อกล่าวหา" ว่าบริษัทรถยนต์หลายแห่งในเยอรมนีได้รวมกลุ่มกันอย่างลับๆ เพื่อร่วมกันกำหนดราคา (Cartel) ซึ่งถือเป็นความผิดในหมวดการผูกขาดทางการค้าหรือไม่
รายงานของหนังสือพิมพ์ แดสปีเกล และฮันเดลส์บลัตต์ ให้ รายละเอียดเอาไว้ว่า ตลอดช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ผู้บริหารกว่า 200 คนของค่ายรถยนต์ 5 แบรนด์ในเยอรมนี ประกอบไปด้วย ออดี้ บีเอ็ม ดับเบิลยู เดมเลอร์ โฟล์คสวาเกน และปอร์เช่ ได้ประชุมลับกันมากกว่า 1,000 ครั้ง เพื่อร่วมกันวางแผนต่างๆ ตั้งแต่การกำหนดราคา การพัฒนารถยนต์ การดีลกับซัพพลายเออร์ การทำตลาด ไปจนถึงการตกลงเรื่องขนาดของถัง AdBlue หรือถังเก็บสารละลายที่ใช้ทำความสะอาดและบำบัดไอเสียในรถเครื่องดีเซล
รถยนต์เครื่องดีเซลนั้นถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซ CO2 ของยุโรป และรับมือกับภัย คุกคามการแข่งขันจากค่ายรถญี่ปุ่น เช่น โตโยต้า ที่ใช้เทคโนโลยีลูกผสมไฮบริด แต่รถดีเซลก็มีข้อเสียที่จะปล่อยก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ หรือ NOx เพิ่มขึ้นแทน ทำให้ค่ายรถยุโรปตอบโจทย์ด้วยเทคโนโลยี AdBlue ซึ่งการกำหนดขนาดของถังตัวนี้ในรถแต่ละคัน ยังหมายถึงต้นทุนของรถแต่ละคัน หรือรถนับสิบล้านคันที่จำหน่ายทั่วโลกในแต่ละปี และในบรรดาเรื่องที่มีการประชุมลับกันของ 5 ค่ายรถ ก็รวมเรื่องนี้เอาไว้ด้วย
แม้จะยังอยู่ในช่วงขั้นต้นของการสอบสวนว่าเรื่องนี้มีมูลหรือไม่ โดยยังไม่ได้ไปถึงขั้นที่คณะกรรมการของสหภาพยุโรป (อียู) เป็นผู้กล่าวหาหรือเป็นโจทก์ยื่นฟ้องด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ข่าวเบื้องต้นเรื่องนี้ก็ถือเป็นเรื่องใหญ่พอที่จะสร้างความตื่นตระหนกไปยังอุตสาหกรรมรถยนต์เยอรมนีแล้ว เพราะนอกจากยานยนต์จะถือเป็นหัวใจหลักของอุตสาหกรรม "เมด อิน เยอรมนี" ที่ทั้งเป็นตัวสร้างเงินและสร้างชื่อเสียงทั่วโลกแล้ว คดีผูกขาดเช่นนี้ยังถือเป็นเรื่องใหญ่ของยุโรปด้วย
จากข้อมูลของไทยยุโรปดอทเน็ต ระบุไว้ว่า ภายใต้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าของสหภาพยุโรป ซึ่งเน้นการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรมเพื่อกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรม เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้ยุโรปเองนั้น เน้นควบคุมตรวจสอบใน 3 สาขาหลัก คือ 1.การควบรวมกิจการ 2.การให้ความช่วยเหลือของภาครัฐ และ 3.การป้องกันการผูกขาด ซึ่งกรณีข้อกล่าวหา Cartel ต่อค่ายรถยุโรปได้รวมอยู่ในข้อหลังนี้ คือ การตกลงกันอย่างลับๆ ระหว่างบริษัทคู่แข่งขันเพื่อกำหนดหรือเพิ่มราคา หรือจำกัดการจำหน่าย จำกัดการผลิต และหรือแบ่งสรรตลาดและลูกค้าระหว่างกัน
หากถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง บริษัทเหล่านี้อาจถูกลงโทษปรับสูงสุดถึง 10% ของยอดจำหน่ายเลยทีเดียว
จึงไม่น่าแปลกใจที่ตลาดหุ้นเยอรมนีจะเปิดตลาดเมื่อต้นสัปดาห์นี้ไม่สวยนัก เพราะมีแรงฉุดจากหุ้นในกลุ่มบริษัทรถยนต์ เช่น โฟล์คสวาเกน ลดลง 3.3% เดมเลอร์ 2.9% และ บีเอ็มดับเบิลยู 2.5% ระหว่างการซื้อขายเมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่หลายบริษัท อาทิ โฟล์คสวาเกน และเดมเลอร์ ได้ออกมาปฏิเสธรายงานข่าวดังกล่าวแล้ว เช่นเดียวกับบีเอ็มดับเบิลยู ที่ออกแถลงการณ์ปฏิเสธ โดยระบุว่าระบบเครื่องยนต์ดีเซลของบริษัทตนเองแตกต่างอย่างมากจากบริษัทอื่นๆ
ในช่วงสัปดาห์นี้เองจึงมีรายงานข่าวออกมาด้วยว่า บรรดาผู้บริหารค่ายรถเมืองเบียร์ต่างเรียกประชุมฉุกเฉินกันถ้วนหน้า โดยรอยเตอร์สรายงานอ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า คณะกรรมการกำกับดูแลของเดมเลอร์ได้เรียกประชุมในกลางสัปดาห์นี้ เพื่อหารือเรื่องข้อกล่าวหาดังกล่าว
เพราะนอกจากคณะกรรมการของ อียูจะสอบสวนเรื่องข้อกล่าวหานี้แล้ว ก็ยังมีรายงานข่าวออกมาด้วยว่า หน่วยงานต่อต้านการผูกขาดทางการค้า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ กำลังเพ่งเล็งข่าวฉาวรอบใหม่นี้อยู่ด้วยเช่นกัน แต่ยังไม่มีความชัดเจนในขณะนี้ว่า สหรัฐจะเปิดการสอบสวนเรื่องดังกล่าวด้วยหรือไม่
หลังผ่านพ้นมรสุมดีเซลเกตมาหมาดๆ ท่ามกลางแนวโน้มที่รถยนต์ไฟฟ้าจะมาแทนที่รถเครื่องยนต์เก่า และภาครัฐก็ยังเตรียมจำกัดการปล่อยมลพิษให้เข้มข้นขึ้น เช่นล่าสุดที่อังกฤษมีแผนจะออกกฎหมายห้ามขายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงภายในปี 2040 นั้น ข่าวอื้อฉาวเรื่องการฮั้วราคาครั้งล่าสุดนี้จึงอาจเป็นมรสุมลูกใหญ่ที่เขย่าอุตสาหกรรมรถและสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อภาคเศรษฐกิจเยอรมนีในอนาคตอันใกล้นี้ n


