ออปชั่นป้องกันความเสี่ยงจากการถือกองแอลทีเอฟ
ผู้อ่านหลายท่านคงได้มีการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) หรือกองทุนรวมหุ้นระยะยาวกันไว้บ้าง ซึ่งทุกท่านคงทราบดีว่ากองทุนแอลทีเอฟนั้น เป็นมาตรการส่งเสริมการลงทุนระยะยาวของภาครัฐที่ให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีแก่ผู้ลงทุน โดยสามารถนำเอามูลค่าเงินลงทุนมาลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคลได้ โดยกองทุนแอลทีเอฟนั้นจะลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็นหุ้นสามัญในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนจะต้องถือครองหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 7 ปีปฏิทิน
ผู้อ่านหลายท่านคงได้มีการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) หรือกองทุนรวมหุ้นระยะยาวกันไว้บ้าง ซึ่งทุกท่านคงทราบดีว่ากองทุนแอลทีเอฟนั้น เป็นมาตรการส่งเสริมการลงทุนระยะยาวของภาครัฐที่ให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีแก่ผู้ลงทุน โดยสามารถนำเอามูลค่าเงินลงทุนมาลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคลได้ โดยกองทุนแอลทีเอฟนั้นจะลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็นหุ้นสามัญในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนจะต้องถือครองหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 7 ปีปฏิทิน
เนื่องจากระยะเวลาการถือครองหน่วยลงทุนค่อนข้างนานนั้น และผลตอบแทนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ผู้ลงทุนต่างให้ความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัดส่วนการลงทุนของกองทุนแอลทีเอฟ ที่มีการลงทุนในหุ้นเป็นส่วนมาก จึงทำให้ผลตอบแทนในระยะสั้นมักผันผวนตามราคาหุ้นที่กองทุนนั้นถืออยู่ ดังนั้น ในระยะเวลาลงทุน 7 ปีปฏิทิน จะมีช่วงจังหวะที่ผู้ลงทุนกองทุนแอลทีเอฟประสบกับการขาดทุนในระยะสั้น วันนี้จะมาดูว่าเราจะบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนในระยะสั้นสำหรับเงินที่ลงทุนไปในกองทุนแอลทีเอฟสามารถทำได้อย่างไร
หนึ่งในเครื่องมือที่ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถเลือกใช้ได้นั้น คือ สัญญา SET50 Index Options ที่ซื้อขายในตลาดซื้อขายสัญญาล่วงหน้า หรือ TFEX นั่นเอง โดยในวันนี้อยากจะนำเอาตัวอย่างกลยุทธ์ที่ผู้ลงทุนสามารถเลือกใช้ 3 กลยุทธ์มาแนะนำกัน
1.Long Put Options
การ Long Put Options นั้น เป็นกลยุทธ์ที่สามารถทำกำไรจากขาลงของราคาหุ้นได้ เพราะ Put Options จะมีราคาสูงขึ้นเมื่อราคาหุ้นลดลง โดยผู้ซื้อ Put Options จะได้สิทธิในการขายที่ราคาใช้สิทธิหากราคาหุ้นลดลง ถึงแม้ว่า Put Options อาจจะไม่สามารถป้องกันความเสี่ยงได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ Put Options ก็สามารถช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพอร์ตหุ้นหรือในกรณีนี้กองทุนแอลทีเอฟได้ คล้ายๆ กับการซื้อประกันราคาหุ้นของเรานั่นเอง
ทั้งนี้ การซื้อ Put Options ต่างจากการ Short Sell หุ้นหรือการ Short Futures ตรงที่ผู้ทำการ Short Sell หุ้น หรือ Short Futures นั้น สามารถทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนได้อย่างไม่จำกัด แต่หากเป็นการซื้อ Put Options นั้น ความเสียหายสูงสุดจะจำกัดอยู่เพียงค่าพรีเมียมหรือเงินที่ใช้ในการซื้อสิทธิในการขายที่จ่ายออกไปตอนแรก ผู้ลงทุนเพียงแค่เลือกราคาใช้สิทธิที่เหมาะกับความเสี่ยงและระยะเวลาการถือครองที่เหมาะกับตนเองจึงนับเป็นกลยุทธ์ที่ได้ผลอย่างมาก ทั้งนี้ สิ่งที่ผู้ลงทุนควรให้ความสำคัญในการเลือกซื้อ Put Options นั้น อยู่ที่ราคาที่เหมาะสมของ Put Options หรือเปรียบเทียบได้ว่าค่าเบี้ยประกันที่ใช้ในการประกันพอร์ตลงทุนนั้นสูงกว่าที่ผู้ซื้อประกันอยากจะจ่ายหรือไม่ มีความคุ้มค่าหรือไม่
2.ขาย Covered Call
เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่นิยมที่สุดสำหรับการซื้อขาย Options เพราะสามารถช่วยเพิ่มผลตอบแทนและยังป้องกันการขาดทุนจากราคาหุ้นได้ด้วย ในกลยุทธ์นี้ ผู้ลงทุนจะทำการขาย Call Options ซึ่งจะได้รับค่าพรีเมียมจากผู้ซื้อ Call Options ซึ่งนั่นก็คือการได้ประกันความเสี่ยงหากราคาหุ้นปรับลดลง เนื่องจาก Call Options ที่ขายไปมีมูลค่าลดน้อยลงหรืออาจจะไม่เหลือค่าเลยในกรณีที่หุ้นปรับตัวขึ้นอย่างมาก ทำให้ผู้ลงทุนได้รับค่าพรีเมียมมาชดเชยการลงทุน
ในพอร์ตหุ้น อย่างไรก็ตามผู้ลงทุนจะมีความเสี่ยงในกรณีที่ราคาหุ้นปรับสูงขึ้นอย่างมาก เนื่องจากจะขาดทุนจากการขายประกันหุ้นขาขึ้น และส่งผลให้กำไรที่ได้จากการถือหุ้นจะถูกบั่นทอนจากการขาดทุนในการขาย Call Options นั่นเอง
3.สร้าง Collars
การทำ Collars เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่นิยมใช้ในการประกันความเสียหายของพอร์ตลงทุนเมื่อตลาดปรับตัวลดลง การทำ Collars นั้นคือการนำกลยุทธ์ที่กล่าวข้างต้นทั้งสองกลยุทธ์มารวมกัน โดยผู้ลงทุนจะทำการซื้อ Put Options (เพื่อได้สิทธิในการขายหรือประกันราคาหุ้นขาลง) และขายคอลออปชั่น (เพื่อให้สิทธิแก่ผู้อยากจะซื้อที่ราคาใช้สิทธิ หรือขายประกันหุ้นขาขึ้น) เงินสดที่ได้มาจากการขาย Call Options จะถูกนำไปใช้เพื่อซื้อ Put Options (ซื้อประกันหุ้นขาลง)
ทั้งนี้ หากผู้ลงทุนเลือกจับคู่ Call Options และ Put Options ที่ตนเองขายและซื้ออย่างเหมาะสม อาจทำให้ไม่มีต้นทุนในการสร้าง Collars เลยด้วยซ้ำ ในกรณีที่หุ้นขึ้นนั้น ผู้ลงทุนจะกำไรจากพอร์ตหุ้น แต่ขาดทุนจากการขาย Call Options ในขณะที่ทิ้งค่าพรีเมียมที่ซื้อ Put Options ไป แต่หากหุ้นปรับตัวลดลง ผู้ลงทุนจะขาดทุนจากพอร์ตหุ้น กำไรจากการขาย Call Options และได้รับกำไรจาก Put Options ที่ซื้อไว้ หรือกล่าวคือผู้ลงทุนยอมรับที่จะรับผลกำไรอย่างจำกัดในพอร์ตหุ้นเพื่อที่จะแลกกับความเสียหายที่จำกัดด้วยเช่นกัน ทำให้กลยุทธ์นี้เป็นที่นิยมแก่นักลงทุนที่กลัวความเสี่ยงอย่างแท้จริง
ตัวอย่างกลยุทธ์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นสามารถช่วยลดความเสียหายของพอร์ตลงทุน หรือกองทุนแอลทีเอฟได้ อย่างไรก็ตาม การใช้กลยุทธ์ทั้ง 3 ไม่ได้การันตีว่าจะทำให้ผู้ลงทุนมีกำไร แต่จะช่วยจำกัดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับพอร์ตหุ้นหรือกองทุนแอลทีเอฟได้ ดังนั้น ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจจุดประสงค์การลงทุนของตัวเองให้ชัดแจ้งก่อนการลงทุน ทั้งนี้ สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับสินค้า Options เพิ่มเติม โปรดติดต่อสอบถามโบรกเกอร์ที่ท่านใช้บริการอยู่ และติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.tfex.co.th


