posttoday

ขสมก.ย้ำตัดสิทธิกลุ่มบีทีเอสประมูลอีทิคเก็ตเพราะเอกสารไม่ครบ

15 มิถุนายน 2560

ขสมก.ย้ำชัดตัดสิทธิกลุ่มบีทีเอสร่วมประมูลอีทิคเก็ตเพราะยื่นเอกสารไม่ครบ เตรียมปรับเบสท์รินเพิ่มอีก800ล้านบาท

ขสมก.ย้ำชัดตัดสิทธิกลุ่มบีทีเอสร่วมประมูลอีทิคเก็ตเพราะยื่นเอกสารไม่ครบ เตรียมปรับเบสท์รินเพิ่มอีก800ล้านบาท

จากกรณีที่กิจการค้าร่วม BMZT กลุ่มบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพจำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอส ได้ส่งตัวแทนเข้ายื่นคำร้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว หลังจากบริษัทลูกของ “บีทีเอส กรุ๊ป” ได้เข้าร่วมประมูลโครงการเช่าระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมติดตั้งอุปกรณ์ (อีทิคเก็ต) บนรถโดยสารประจำทาง 2,600 คัน สัมปทาน 5 ปี แต่ถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้เข้าร่วมแข่งขันในการประมูลโดยมิชอบ

นายสมศักดิ์ ห่มม่วง รองปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะรักษาการผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยว่า การตัดสิทธิ์กิจการค้าร่วม BMZT กลุ่มบริษัทบีทีเอส เนื่องจากเอกชนยื่นเอกสารไม่ครบถ้วนตามที่ระบุไว้ในเงื่อนไขประกวดราคา ข้อ 2.12 ที่ระบุว่าผู้ยื่นต้องแสดงหลักฐานต้นฉบับหรือสำเนาสัญญาของงานและหนังสือรับรองผลงานในวันยื่นซองซึ่งตรงกับ 6 มี.ค. ที่ผ่านมานั้น เพื่อพิจารณาควบคู่กันว่าตามสัญญาผลงานที่นำมาอ้างอิงได้เริ่มดำเนินการเมื่อใด ตลอดจน ข้อ 3.2(2) ที่เอกชนไม่ได้ยื่นสำเนาสัญญาผลงานตามที่ได้แจ้งไว้ในเอกสารหนังสือแสดงการใช้ผลงานว่ามีสำเนาสัญญาและหนังสือรับรองผลงาน รวมทั้งหนังสือแสดงเงื่อนไขการเช่าด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ไม่ครบถ้วน โดยกำหนดยื่น 3 ชุด แต่ยื่นเพียง 1 ชุด

อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่ได้เห็นหมายศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว และยืนยันลงนามสัญญากับบริษัท ช.ทวี จำกัด (มหาชน) ที่ชนะการประมูลโครงการดังกล่าวด้วยวงเงิน 1,665 ล้านบาท จากราคากลาง 1,786.59 ล้านบาท ซึ่งประมูลต่ำกว่าราคากลาง 121 ล้านบาท ในวันที่ 15มิ.ย. ตามกำหนดการเดิม หากยังไม่มีหมายศาลสั่งคุ้มครอง หลังจากลงนามสัญญาแล้ว ตามแผนบริษัทคู่สัญญาต้องนำรถล็อตแรก 100 คัน ที่ติดตั้งระบบที่ใช้สแกนบัตรโดยสารและกล่องเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติ ภายใน 120 วัน ส่วนล็อตที่ 2 จำนวน 700 คัน ทยอยติดตั้งให้ครบภายในวันที่ 1 ต.ค. 60 หรือภายใน 180 วัน ภายหลังทำสัญญา และล็อตที่ 3 จำนวน1,800 คัน จะต้องติดตั้งระบบและให้บริการได้ภายใน 360 วัน นับจากวันลงนามในสัญญา

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ส่วนความคืบหน้าโครงการจัดซื้อรถโดยสารที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง (เอ็นจีวี)489 คันว่า หลังจากที่ยกเลิกสัญญากับบริษัทเบสท์รินกรุ๊ปจำกัด ผู้ที่เคยชนะในการประมูลโครงการดังกล่าวครั้งที่ผ่านมา ด้วยวงเงิน 3,387 ล้านบาทแล้วนั้น เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ที่ผ่านมาขสมก. เพิ่งได้รับเงินจากธนาคารที่ต้องการันตีที่บริษัทเบสท์ริน ต้องจ่ายในเงื่อนไขที่ผิดสัญญาส่งมอบรถไม่ได้จนต้องเลิกสัญญา วงเงิน 338.978 ล้านบาท

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ที่ผ่านมาได้ยกเลิกการจดทะเบียนรถเมล์เอ็นจีวี 292 คันแล้ว อีกทั้งขสมก. ได้แจ้งไปที่กรมสรรพากร ว่ายังไม่จ่ายเงินค่าซื้อรถให้กับเบสท์ริน ดังนั้นเอกสารการจ่ายค่ารถที่มีใบเสร็จรับเงินและใบกำกับภาษีอาจเป็นเท็จ ทั้ง 292คัน โดยมีมูลค่าวงเงินทั้งหมด 1,022 ล้านบาทหรือคิดเป็นเฉลี่ยรถคันละ 3.5ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ขสมก. เตรียมฟ้องเรียกค่าเสียหายอื่นๆ เพิ่มด้วย เช่น การต้องจ่ายค่าปรับที่ส่งรถไม่ได้ตามกำหนดสัญญา วันละ 16,000-17,000 บาทต่อวัน รวมประมาณ 700-800 ล้านบาท

ส่วนเรื่องการกำหนดราคากลางยืนยันตามทีโออาร์เดิม 4,021 ล้านบาท แบ่งเป็นค่ารถ เฉลี่ยคันละ 3,549,182 บาท ค่าซ่อมบำรุง 1-5 ปีที่มีประกัน ราคาคันละ 925 บาท ต่อคันต่อวัน และ ค่าซ่อมบำรุง 6-10 ปี ไม่มีประกัน คันละ 1,635 คันต่อวัน ซึ่งราคากลางดังกล่าวเป็นไปตามที่กำหนด และหากยึดตามราคาที่เบสท์รินประมูลชนะครั้งที่ผ่านมายังไม่ประสบความสำเร็จ แต่จะหารือกันอีกทีในวันที่ 16 มิ.ย นี้