posttoday

ภาคภูมิ ศรีชำนิ STECเติบใหญ่มั่นคง

01 พฤษภาคม 2560

ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างยังคงเป็นธุรกิจอยู่ในความสนใจและอยู่ในโพลของนักวิเคราะห์และผลจากการสำรวจของสภาธุรกิจตลาดทุนไทย

โดย...ยินดี ฤตวิรุฬห์

ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างยังคงเป็นธุรกิจอยู่ในความสนใจและอยู่ในโพลของนักวิเคราะห์และผลจากการสำรวจของสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ก็ระบุว่าธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเป็นหนึ่งในธุรกิจที่น่าลงทุน ผลจากภาครัฐลงทุน

โพสต์ทูเดย์ มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ ภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) ภายหลังจากที่บริษัทเข้าร่วมประมูลในโครงการรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ ร่วมกับพันธมิตรทั้ง ช.การช่าง (CK) บีทีเอส (BTS) จนทำให้เมื่อสิ้นปี 2559 งานในมือของบริษัททะลุ 1 แสนล้านบาท ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ตั้งบริษัทมา 

ถาม : STEC งานในมือแสนล้านแล้วไปไหนต่อ

ตอบ : STEC ยังคงทำงานธุรกิจก่อสร้างเป็นธุรกิจหลักอย่างต่อเนื่อง นับจนถึงปัจจุบันก็เป็นเวลา 55 ปีมาแล้ว เราเติบโตมาตลอด จากบริษัทขนาดเล็กจนมาเป็นหนึ่งในบริษัทขนาดใหญ่ของประเทศ วันนี้เรามีงานในมือถึง 1 แสนล้านบาทแล้ว และเราจะเดินหน้าต่อไปในธุรกิจหลักของเราที่ทำมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว เราจะไม่หยุดเดิน เราจะเดินก้าวหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง จะสร้างผลงานก่อสร้างสำคัญๆ ให้กับประเทศต่อไป จะสร้างงานให้แก่คนไทยต่อไป เราจะสะสมงานในมือให้เติบโตขึ้นไปอีก ซึ่งอาจจะเห็นงานในมือเป็น แสนห้าหมื่นล้าน หรือสองแสนล้าน ในอนาคตข้างหน้าก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาส

STEC ค่อยๆ เติบโตด้วยความมั่นคงมาโดยตลอด เรามีบุคลากรที่อยู่กับองค์กรมานาน และเสริมเด็กๆ ตั้งแต่รุ่นจบใหม่มาตลอดทุกปี เป็นฐานพีระมิดที่แข็งแรง ภายใน 2 ปีนี้เราก็คงขยับขนาด Revenue Size ขึ้นไปจาก 2 หมื่นล้าน/ปี เป็น 3 หมื่นล้าน/ปีได้ไม่ยาก เพราะเราค่อนข้างพร้อมทั้งฐานะการเงินที่แข็งแกร่งและการปูทางบุคลากร เครื่องมือ เครื่องจักร ที่มาอย่างเป็นระบบถาม :  ปีนี้บอกผู้ถือหุ้นว่า STEC มี
เป้าหมายอย่างไร บนสมมติฐานโครงการลงทุนของรัฐ ยังเป็นความหวังและโอกาสของธุรกิจ

ตอบ : ผมก็บอกกับผู้ถือหุ้นเราเหมือนกับทุกปีที่ผ่านมาว่า เป้าหมายของ STEC ยังเหมือนเดิม เราจะเติบโตต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน เราจะยังคงมุ่งเน้นการรักษา Margin ของ Bottom Line มากกว่าการเติบโตของ Top Line เราจะดูแลและตอบแทนผู้ถือหุ้นของเราอย่างเหมาะสม ตามที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่ารัฐบาลได้เร่งรัดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศในช่วงที่ผ่านมาและยังคงเร่งรัดอย่างต่อเนื่องไปอีกหลายปี โครงการลงทุนต่างๆ ของภาครัฐจะก่อให้เกิดโครงการก่อสร้างต่างๆ เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน โครงการรถไฟทางคู่ โครงการมอเตอร์เวย์ระหว่างเมือง โครงการขยายสนามบินและท่าเรือ เป็นต้น ล้วนแต่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการธุรกิจก่อสร้างและผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก โครงการต่างๆ ที่กำลังทยอยออกมาในอนาคตอันใกล้และอีก 2-3 ปีข้างหน้ายังคงเป็นโอกาสที่ดีมากต่อผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง รวมถึง STEC ด้วยและเราก็อยู่ในจุดที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงเพราะเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ของประเทศ มีโอกาสที่จะเข้าประมูลงานทุกโครงการ ทำให้มีโอกาสที่จะสะสมงานในมือให้เพิ่มมากขึ้นอีกในอนาคต

“ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้เราจากที่ Growth ติดต่อกันมา 4-5 ปี จนถึงมีรายได้ปีละ 2 หมื่นล้าน และหยุดอยู่ที่ 2 หมื่นล้านมา 2-3 ปี ทุกคนในธุรกิจเดียวกันก็เป็นเช่นเดียวกัน บางรายรายได้ลดลงด้วยซ้ำ พองานของภาครัฐเริ่มออกมาอย่างเป็นรูปธรรมเมื่อปี 2559 ปรากฏว่าเราประมูลงานมาได้ค่อนข้างเยอะ และโอกาสชนะงาน (Success Rate) อยู่ที่ 40% ทำให้งานในมือตอนนี้ถึงแสนล้าน และเราไม่ใช่มีเฉพาะภาครัฐอย่างเดียว เรายังคงรักษาสัดส่วนภาคเอกชนได้ใกล้เคียงกับงานภาครัฐเช่นเดิม ผู้ถือหุ้นก็พอใจ เขาเชื่อมือเราเรื่องความสามารถในการทำกำไร การควบคุมต้นทุนของเราอยู่แล้ว ตอนนี้ตุนงานในมือเยอะก็ยิ่งสบายใจ

ถาม : ความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าที่ชนะรอเซ็นสัญญา และการเข้าร่วมประมูลในโครงการต่างๆ ของรัฐ คาดหวังงานใหม่อย่างไร

ตอบ : STEC จะเข้าร่วมประมูลงานในโครงการต่างๆ ของภาครัฐทุกโครงการและคิดว่ามีความสามารถในการแข่งขันที่มากเพียงพอในการที่จะชนะการประมูลงานต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่องเหมือนที่ผ่านมา ปกติจากข้อมูลในอดีตเราจะมีโอกาสชนะการประมูลประมาณ 20-25% คือ เราจะชนะการประมูล 1 โครงการในการเข้าร่วมประมูลประมาณ 4-5 โครงการ ซึ่งก็มั่นใจว่าคงทำได้เช่นเดิมแน่นอนรถไฟฟ้าที่ชนะการประมูล สายสีส้ม เซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว กำหนดเริ่มงาน (Notice to Proceed) วันที่ 2 พ.ค. 2560 ส่วนสายสีชมพูและสายสีเหลืองอยู่ในขั้นตอนของรัฐ น่าจะมีการเซ็นสัญญาได้ในไตรมาส 2 นี้ เราเตรียมการล่วงหน้ามานาน สะสมคน เครื่องมือ เครื่องจักร ศึกษาเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ ไว้เยอะ

ถาม : STEC ในมุมมองของทริส นักวิเคราะห์ คือบริษัทที่มีสภาพคล่องดีมาก เรามีนโยบายเรื่องนี้อย่างไร และในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นประเมินอย่างไร

ตอบ : ในเรื่องการเงิน เรายึดถือเป็นนโยบายมานานกว่า 10 ปีแล้วว่าเราจะไม่มีหนี้ เราจะสะสมแต่เงินสด และนี่ก็เป็นสิ่งที่เราถือปฏิบัติกันมานานจนเป็นที่ยอมรับกันในหมู่นักลงทุนต่างๆ ว่า STEC เป็นบริษัทที่ไม่มีหนี้สินทางการเงิน มีสภาพคล่องที่ดี มีความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน ปัจจุบัน STEC ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรในระดับ A- จาก ทริสเรทติ้ง และเราจะยังคงเดินตามแนวทางนี้ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้นดอกเบี้ยขาขึ้นเราไม่กังวลอะไร เนื่องจากการที่เราไม่มีหนี้สินทางการเงินทำให้ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยแต่อย่างไร

ถาม : การขยายสู่พลังงานทดแทนร่วมไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ (TSE) บุกโซลาร์ ญี่ปุ่นจะส่งผลดีและผลตอบแทนต่อ STEC อย่างไร

ตอบ : การที่ STEC เริ่มเข้าสู่ธุรกิจพลังงานทดแทน คิดว่ามันจะเป็นสิ่งที่ดีในระยะยาว เพราะธุรกิจการขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนต่างๆ นั้น จะสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงและสม่ำเสมอ ซึ่งกระแสเงินสดนั้นๆ จะถูกส่งกลับมาให้กับเราในระยะยาว ถือเป็น Recurring Income ที่มั่นคงและสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนถือหุ้นใน TSE โดยตรง หรือการเข้าร่วมกับ TSE ในการพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่น แม้ว่าจะมีงานก่อสร้างในมือเยอะ แต่เราก็คงต้องมองต่อไปในอนาคต งานก่อสร้างได้มาแล้วก็รับรู้และก็หมดไป ต้องหามาเติมใหม่ตลอดเวลา เรามองเรื่องการลงทุนมานานเพื่อที่จะได้มีรายได้เข้ามาเสริม นอกเหนือจากงานก่อสร้าง เราศึกษาอย่างละเอียดและดูเป็นอย่างดีในโครงการที่เราจะลงทุนทุกๆ โครงการ โดยยึดถือผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญที่สุด

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา