TPCH โรงไฟฟ้าชีวมวล ลุ้นโอกาสใหม่
โดย...พูลศรี เจริญจุดเริ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวลของบริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง (TPCH) เกิดจากวิสัยทัศน์ของ เจริญ จันทร์พลังศรี ผู้ก่อตั้งบริษัท ไทยโพลีคอนส์ (TPOLY) ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และปัจจุบันรับงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าให้ TPCH ทุกโครงการ โดยเจริญได้เริ่มปักหมุดโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ จ.นครศรีธรรมราช ตั้งแต่ปี 2549 ปัจจุบันถือเป็นบริษัทที่มีฐานธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวลที่แข็งแกร่งในภาคใต้การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เดือน ม.ค. 2558 ทำให้ TPCH ได้เงินทุนมาขยายธุรกิจและผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง “กนกทิพย์ จันทร์พลังศรี” ประธานกรรมการบริหาร TPCH กล่าวว่า บริษัทได้เงินจากการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก (ไอพีโอ) 1,140 ล้านบาท มาขยายธุรกิจจนเติบโตถึงทุกวันนี้ โดยก่อนนำกิจการเข้าจดทะเบียนมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (พีพีเอ) จำนวน 60-70 เมกะวัตต์ ค่าก่อสร้าง 75 ล้านบาท/เมกะวัตต์ ขณะที่ปัจจุบันมีพีพีเอ 130 เมกะวัตต์“เงินที่ได้จากไอพีโอ รวมกับกระแสเงินสดในมือ 600-700 ล้านบาท ทำให้มีเงินทุนเพียงพอสำหรับพัฒนาโรงไฟฟ้าได้ 150 เมกะวัตต์”นอกจากธุรกิจเติบโตต่อเนื่องแล้ว หุ้น TPCH ยังได้รับ
โดย...พูลศรี เจริญ
จุดเริ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวลของบริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง (TPCH) เกิดจากวิสัยทัศน์ของ เจริญ จันทร์พลังศรี ผู้ก่อตั้งบริษัท ไทยโพลีคอนส์ (TPOLY) ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และปัจจุบันรับงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าให้ TPCH ทุกโครงการ โดยเจริญได้เริ่มปักหมุดโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ จ.นครศรีธรรมราช ตั้งแต่ปี 2549 ปัจจุบันถือเป็นบริษัทที่มีฐานธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวลที่แข็งแกร่งในภาคใต้
การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เดือน ม.ค. 2558 ทำให้ TPCH ได้เงินทุนมาขยายธุรกิจและผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง
“กนกทิพย์ จันทร์พลังศรี” ประธานกรรมการบริหาร TPCH กล่าวว่า บริษัทได้เงินจากการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก (ไอพีโอ) 1,140 ล้านบาท มาขยายธุรกิจจนเติบโตถึงทุกวันนี้ โดยก่อนนำกิจการเข้าจดทะเบียนมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (พีพีเอ) จำนวน 60-70 เมกะวัตต์ ค่าก่อสร้าง 75 ล้านบาท/เมกะวัตต์ ขณะที่ปัจจุบันมีพีพีเอ 130 เมกะวัตต์
“เงินที่ได้จากไอพีโอ รวมกับกระแสเงินสดในมือ 600-700 ล้านบาท ทำให้มีเงินทุนเพียงพอสำหรับพัฒนาโรงไฟฟ้าได้ 150 เมกะวัตต์”
นอกจากธุรกิจเติบโตต่อเนื่องแล้ว หุ้น TPCH ยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบัน ปัจจุบันนักลงทุนสถาบันถือหุ้น TPCH เกือบ 20% นอกจากนี้การนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ที่ฮ่องกงช่วงต้นเดือน มี.ค. มีนักลงทุนสถาบันสนใจเข้าฟังจำนวนมาก
โอกาสการขยายธุรกิจของ TPCH มีทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในประเทศตั้งเป้าพีพีเอ โรงไฟฟ้าชีวมวลให้ครบ 200 เมกะวัตต์ ภายในปีนี้ และคาดว่าจะจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ให้ครบทั้ง 200 เมกะวัตต์ ได้ภายในปี 2563-2564
สิ้นปีนี้คาดว่าจะ COD ได้ประมาณ 60 เมกะวัตต์ จากสิ้นปี 2559 อยู่ที่ 40 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าที่จะ COD มี 2 แห่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้าพัทลุง กรีน เพาเวอร์ กำลังการผลิตในการขายไฟฟ้า 9.2 เมกะวัตต์ คาดว่าเริ่ม COD ไตรมาส 2 และโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลสตูล กรีน เพาเวอร์ ขนาดกำลังการผลิตในการขายไฟฟ้า 9.2 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเริ่ม COD ไตรมาส 3
อีกโอกาสใหม่ของ TPCH ในปีนี้คือ กรณีคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เห็นชอบการรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มเติมจากพลังงานหมุนเวียน โดยมีเป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าทั้งหมดเกือบ 600 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP-Hybrid Firm ทั่วประเทศ จำนวน 300 เมกะวัตต์ และ VSPP+ Semi-Firm ทั่วประเทศ จำนวน 289 เมกะวัตต์ ยกเว้น 3 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเป็นส่วนผสมทั้งโรงไฟฟ้าชีวมวล ก๊าซชีวภาพ และพืชพลังงาน
“เราอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมร่วมประมูลทั้ง 2 โครงการ และถือเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนของ TPCH เบื้องต้นตั้งเป้าได้พีพีเอจากทั้ง 2 โครงการรวม 70 เมกะวัตต์ หากเป็นไปตามเป้าจะทำให้ปีนี้มีพีพีเอโรงไฟฟ้าชีวมวล 200 เมกะวัตต์ เร็วกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปี 2563”
กนกทิพย์ กล่าวอีกว่า บริษัทอยู่ระหว่างรอความชัดเจนเพื่อยื่นขอคุณสมบัติในการเข้าพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน พื้นที่ จ.นนทบุรี จากหน่วยงานรัฐบาล ที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าลงทุนซื้อหุ้นจากบริษัท สยาม พาวเวอร์ (SP) 50% มีกำลังผลิต 8 เมกะวัตต์ ขณะที่ตั้งเป้าที่จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากขยะชุมชนทั่วประเทศประมาณ 50 เมกะวัตต์
เธอบอกว่า TPCH อยู่ระหว่างประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำที่ สปป.ลาว กำลังการผลิต 52.10 เมกะวัตต์ หลังได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) ไปแล้วในช่วงเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา คาดว่าได้ข้อสรุปการลงทุนในโครงการดังกล่าวไม่เกิน 4 เดือนข้างหน้า หากผลสรุปออกมาแล้วว่าคุ้มค่าในการลงทุน คาดว่าจะใช้เวลาในการพัฒนาโครงการประมาณ 4 ปี โดยจะใช้เงินลงทุนประมาณ 50-60 ล้านบาท/1 เมกะวัตต์ นอกจากนี้อยู่ระหว่างศึกษาในการก่อสร้างโครงการพลังงานน้ำอีก 1 โครงการ
แนวโน้มผลประกอบการปี 2560 บริษัทคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องทุกไตรมาส จากกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันจะมีอัตรากำไรเพิ่มทุน เนื่องจากต้นทุนทางการเงินลดลง
ตัวอย่างเช่น โรงไฟฟ้าช้างแรกที่ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งก่อสร้างและเดินเครื่องผลิตครบ 3 ปีแล้ว สถาบันการเงินได้เสนออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดีแบบมีกำหนดระยะเวลา (เอ็มแอลอาร์) ลบ 2% เป็นต้น ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าโครงการใหม่อัตราดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์ ลบ 2 (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์เฉลี่ยที่ 6% ต่อปี)


