posttoday

ความรับผิดกรรมการบริษัท ตามกฎหมายใหม่ (จบ)

22 มีนาคม 2560

โดย...วิโรจน์ พูนสุวรรณ ที่ปรึกษากฎหมาย [email protected]ครั้งที่แล้วเล่าถึงกฎหมายความรับผิดทางอาญาของกรรมการบริษัท ซึ่งได้มีกฎหมายใหม่ที่ชื่อ “พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล พ.ศ. 2560” บังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยเท้าความไปถึงกฎหมายเก่าที่มีอยู่ ระบุไว้ว่า หากบริษัทจำกัดทำความผิดที่ระบุไว้ กรรมการของบริษัท หรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทนั้นต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท กฎหมายเก่านั้นเอาผิดกับกรรมการ เพราะเป็นกรรมการ ไม่ใช่เพราะกรรมการทำผิด ตามกฎหมายเก่าถ้าบริษัททำผิด กรรมการบริษัททุกคนก็มีความผิดติดตัวไปโดยอัตโนมัติ แม้ตนเองจะไม่ได้ทำผิดอะไร หรือมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดแต่ประการใด แค่เป็นกรรมการก็ผิดแล้วเมื่อบริษัททำผิด ภาระการพิสูจน์ตามกฎหมายเก่าจึงตกอยู่กับกรรมการผู้ถูกกล่าวหา ถ้าหากอยากจะพ้นผิด ต้องพิสูจน์ว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิดจุดเปลี่ยนแปลงมาเกิดขึ้นเมื่อปี 2555 เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินว่า พระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 มาตรา 54 ซึ่งเป็นกฎหมายเก่า มีบทบัญญัติขัดกับรัฐธร

โดย...วิโรจน์ พูนสุวรรณ ที่ปรึกษากฎหมาย [email protected]

ครั้งที่แล้วเล่าถึงกฎหมายความรับผิดทางอาญาของกรรมการบริษัท ซึ่งได้มีกฎหมายใหม่ที่ชื่อ “พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล พ.ศ. 2560” บังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยเท้าความไปถึงกฎหมายเก่าที่มีอยู่ ระบุไว้ว่า หากบริษัทจำกัดทำความผิดที่ระบุไว้ กรรมการของบริษัท หรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทนั้นต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

กฎหมายเก่านั้นเอาผิดกับกรรมการ เพราะเป็นกรรมการ ไม่ใช่เพราะกรรมการทำผิด ตามกฎหมายเก่าถ้าบริษัททำผิด กรรมการบริษัททุกคนก็มีความผิดติดตัวไปโดยอัตโนมัติ แม้ตนเองจะไม่ได้ทำผิดอะไร หรือมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดแต่ประการใด แค่เป็นกรรมการก็ผิดแล้วเมื่อบริษัททำผิด ภาระการพิสูจน์ตามกฎหมายเก่าจึงตกอยู่กับกรรมการผู้ถูกกล่าวหา ถ้าหากอยากจะพ้นผิด ต้องพิสูจน์ว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิด

จุดเปลี่ยนแปลงมาเกิดขึ้นเมื่อปี 2555 เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินว่า พระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 มาตรา 54 ซึ่งเป็นกฎหมายเก่า มีบทบัญญัติขัดกับรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศในขณะนั้น ทำให้มาตรา 54 ของ พ.ร.บ.ขายตรงเสียไปไม่มีผลใช้บังคับ

มาตรา 54 ของ พ.ร.บ.ขายตรงก็เหมือนกับ พ.ร.บ.กำหนดความผิดบริษัทจำกัด และ พ.ร.บ.กิจการโทรคมนาคมและกฎหมายเก่ารวม 76 ฉบับ ที่สันนิษฐานทันทีว่า เมื่อบริษัททำผิด กรรมการก็ต้องผิดด้วยโดยอัตโนมัติ เว้นแต่ว่ากรรมการจะพิสูจน์ได้ว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์

ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า บทบัญญัติดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 39 วรรคสอง ที่ระบุว่า “ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด” เท่ากับว่า กฎหมายสูงสุด ให้สันนิษฐานว่ากรรมการไม่ผิด หากจะเอาผิดกับกรรมการ พนักงานอัยการต้องนำสืบให้ได้ว่ากรรมการทำผิด จะพิสูจน์เพียงว่ากรรมการ เป็นกรรมการบริษัทไม่ได้ ภาระการพิสูจน์ย่อมตกอยู่กับพนักงานอัยการผู้เป็นโจทก์ ตามหลักกฎหมายอาญาทั่วไป ที่ให้สันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ในคดีอาญา

ศาลรัฐธรรมนูญได้กล่าวถึงปฏิญญาสากลแห่งสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ 11 (1) ที่ระบุว่า “บุคคลซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีความผิดอาญา มีสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์ จนกว่าจะมีการพิสูจน์ว่ามีความผิดตามกฎหมายในการพิจารณาคดีโดยเปิดเผย และผู้นั้นได้รับหลักประกันทั้งหลายที่จำเป็นในการต่อสู้คดี” ว่าเป็นหลักสิทธิมนุษยชน อันเป็นที่มาของรัฐธรรมนูญมาตรา 39 วรรคสอง และเป็นหลักการพื้นฐานของกฎหมายอาญาสากล

เมื่อมาตรา 54 ของ พ.ร.บ.ขายตรง ขัดกับรัฐธรรมนูญเสียแล้ว ก็เป็นอันใช้บังคับไม่ได้ตามมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว นอกจาก พ.ร.บ.ขายตรงแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญยังมีคำวินิจฉัยทำนองเดียวกันไม่ให้บังคับใช้มาตราที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายอีกสี่ฉบับ

ภาครัฐจึงแก้ไขมาตราที่เกี่ยวข้องที่ขัดกับรัฐธรรมนูญในกฎหมายเก่าเหล่านี้ไปในคราวเดียวกันทั้ง 76 ฉบับ ให้สอดคล้องกับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญและรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว ทำให้มาตราที่แก้ไขใหม่ในกฎหมายทั้ง 76 ฉบับนี้ สันนิษฐานในทางเป็นคุณแก่กรรมการไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ และหากภาครัฐจะเอาผิดกับกรรมการเมื่อบริษัทกระทำผิด พนักงานอัยการก็มีภาระต้องพิสูจน์ว่ากรรมการกระทำผิดจริง นอกเหนือการนำสืบว่าบุคคลดังกล่าวเป็นกรรมการบริษัท

ข่าวล่าสุด

ลดราคาน้ำมันดีเซล-เบนซิน 50 สตางค์ต่อลิตร มีผล 24 ธ.ค.68