posttoday

JMT ประเดิมกัมพูชา รุกธุรกิจบริหารหนี้

13 มีนาคม 2560

บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ผู้ประกอบธุรกิจบริหารหนี้และถือเป็นยักษ์ใหญ่ธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพในประเทศไทย มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดราว 90% สิ้นปี 2559 มีพอร์ตบริหารหนี้ 1.08 แสนล้านบาท หนี้ที่บริหารมีทั้งสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล การเป็นเบอร์หนึ่งในประเทศ ไม่เพียงพอสำหรับ JMT ดังนั้น ปี 2560 จึงได้ขยับขยายไปต่างประเทศ ประเดิมที่บ้านใกล้เรือนเคียง คือ กลุ่มซีแอลเอ็มวี หรือกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMT ให้ข้อมูลว่า บริษัทจะเข้าไปรุกตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง โดยเน้นที่กลุ่มซีแอลเอ็มวี ประเดิมกัมพูชาเป็นประเทศแรก พร้อมจัดตั้งบริษัทย่อย ชื่อ บริษัท เจเอ็มที (กัมพูชา) เพื่อประกอบธุรกิจรับจ้างติดตามหนี้ และคอลเซ็นเตอร์ ด้วยทุนจดทะเบียนประมาณ 30.6 ล้านบาท JMT ถือหุ้น 100%“การไปกัมพูชาถือเป็นก้าวแรกในการก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจติดตามหนี้และบริหารหนี้ในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคตของ JMT”  ปิยะ ขยายความอีกว่า บริษัท เจเอ็มที (กัมพูชา) จะเริ่มทำธุรกิจไตรมาส 2 ในรูปแบบรับจ้างติดตามหนี

บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ผู้ประกอบธุรกิจบริหารหนี้และถือเป็นยักษ์ใหญ่ธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพในประเทศไทย มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดราว 90% สิ้นปี 2559 มีพอร์ตบริหารหนี้ 1.08 แสนล้านบาท หนี้ที่บริหารมีทั้งสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล

การเป็นเบอร์หนึ่งในประเทศ ไม่เพียงพอสำหรับ JMT ดังนั้น ปี 2560 จึงได้ขยับขยายไปต่างประเทศ ประเดิมที่บ้านใกล้เรือนเคียง คือ กลุ่มซีแอลเอ็มวี หรือกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม

ปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMT ให้ข้อมูลว่า บริษัทจะเข้าไปรุกตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง โดยเน้นที่กลุ่มซีแอลเอ็มวี ประเดิมกัมพูชาเป็นประเทศแรก พร้อมจัดตั้งบริษัทย่อย ชื่อ บริษัท เจเอ็มที (กัมพูชา) เพื่อประกอบธุรกิจรับจ้างติดตามหนี้ และคอลเซ็นเตอร์ ด้วยทุนจดทะเบียนประมาณ 30.6 ล้านบาท JMT ถือหุ้น 100%

“การไปกัมพูชาถือเป็นก้าวแรกในการก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจติดตามหนี้และบริหารหนี้ในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคตของ JMT” 

ปิยะ ขยายความอีกว่า บริษัท เจเอ็มที (กัมพูชา) จะเริ่มทำธุรกิจไตรมาส 2 ในรูปแบบรับจ้างติดตามหนี้ระยะ 2 ปี จากนั้นใช้โมเดลเดียวกับไทยขยายรูปแบบการซื้อหนี้มาบริหาร โดยหนี้ที่จะซื้อมาบริหารคาดว่าจะเป็นของ บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) และบริษัท กรุ๊ปลีส (GL)

สาเหตุที่เลือกปักหมุดทำธุรกิจบริหารหนี้ในกัมพูชาเป็นประเทศแรก และถือเป็นประตูเปิดสู่ประเทศอื่นๆ ในกลุ่มซีแอลเอ็มวี ก่อนสยายปีกครอบคลุมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ซีอีโอ JMT ให้เหตุผลว่า เพราะเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจ เนื่องจากตลาดสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อส่วนบุคคลในกัมพูชาเป็นตลาดที่ใหญ่มาก และอยู่ในช่วงขยายตัว นอกจากนี้สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ก็สูงด้วย

“จากการลงพื้นที่สำรวจในกัมพูชา 2 ครั้ง ได้เห็นการเติบโตของสินเชื่อส่วนบุคคลกับสินเชื่อเช่าซื้อมอเตอร์ไซค์ขยายตัวสูง ขณะเดียวกันเอ็นพีแอลก็สูงด้วย” ปิยะ กล่าว

ปิยะ กล่าวอีกว่า การทำธุรกิจในกัมพูชาคาดว่าจะทำอัตราผลตอบแทนให้บริษัทได้ภายใน 1 ปี

หลังเปิดธุรกิจบริหารหนี้ในกัมพูชาแล้ว เป้าหมายต่อไป คือ ประเทศเวียดนามและลาว แต่ขอรอดูตลาดสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อส่วนบุคคลใน 2 ประเทศดังกล่าวอีก 2 ปี 

ข้อมูลจากเนชั่นแนล แบงก์ ออฟ กัมพูชา รายงานข้อมูลหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอลในกัมพูชาย้อนหลัง 5 ปี พบว่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่องดังนี้ ปี 2554 มีมูลค่า 3,822 ล้านบาท ปี 2555 มีมูลค่า 5,144 ล้านบาท ปี 2556 มีมูลค่า 7,126 ล้านบาท ปี 2557 มีมูลค่า 7,599 ล้านบาท และปี 2558 มีมูลค่า 8,518 ล้านบาท

ส่วนธุรกิจบริหารหนี้ในประเทศ ปิยะ บอกว่า สำหรับ JMT ยังเน้นธุรกิจบริหารและติดตามหนี้ แต่ธุรกิจนี้ไม่ง่าย มีคู่แข่งเพิ่มในตลาด สำหรับ JMT ได้ติดอาวุธเพิ่มเพื่อรองรับการแข่งขัน นั่นก็คือ การมีเทคโนโลยีการเงินหรือฟินเทคเข้ามาเป็นตัวเชื่อม

การนำเทคโนโลยีและแอพพลิเคชั่นมาใช้ สิ่งที่จะเห็นได้ชัดคือ จะทำให้พนักงานติดตามหนี้ของบริษัทค่อยๆ ลดลงในปีนี้ จากปัจจุบันมี 1,600 คน และจะเพิ่มเป็น 1,800 คน เพื่อรองรับการขยายงาน 

นอกจากนี้ ปี 2560 จะเป็นปีแห่งการปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกค้า โดยลูกค้าสัดส่วน 95% จะเป็นมนุษย์เงินเดือน ขณะที่รายได้ไม่เพิ่มขึ้น แต่มีหนี้สินเพิ่ม

สำหรับผลการดำเนินงาน JMT ปี 2559 ทำสถิติกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 290 ล้านบาท เติบโต 207% จากปี 2558 มีรายได้รวม 1,063.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.9% จากปี 2558 อยู่ที่ 719.1 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการเรียกเก็บหนี้จากลูกหนี้ที่รับซื้อ รายได้ดอกเบี้ยและรายได้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรายได้จากการให้บริการติดตามหนี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา

ผลการดำเนินงานที่ออกมาดี เพราะประสบความสำเร็จอย่างสูงในการติดตามหนี้ด้อยคุณภาพ ซึ่งเป็นปีที่มียอดจัดเก็บสูงสุดเท่ากับ 1,026 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการบริหารจัดการ จากกลยุทธ์ที่วางไว้ และประสิทธิภาพในการติดตามหนี้ของพนักงานบริษัท ตอกย้ำการเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจบริหารหนี้ได้อย่างดี

นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมา สถาบันการเงินต่างๆ ขายหนี้เสียออกมาอย่างต่อเนื่อง และหนี้ด้อยคุณภาพส่วนใหญ่ที่ซื้อมามีคุณภาพมากขึ้น ทำให้ปี 2559 สามารถซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารเพิ่มอีกเกือบ 2 หมื่นล้านบาท สนับสนุนให้หนี้ในพอร์ตทะลุ 1 แสนล้านบาทเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะเป็นสินทรัพย์สำคัญของบริษัทในการติดตามหนี้เพื่อสร้างรายได้อย่างมั่นคงต่อไปในอนาคต

สำหรับปีนี้ตั้งเป้าซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารเพิ่มอีก 3 หมื่นล้านบาท หรือสิ้นปี 2560 มีพอร์ตบริหารหนี้แตะ 1.4 แสนล้านบาท

ก่อนหน้านี้ อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท (JMART) บริษัทแม่ของ JMT ให้ข้อมูลว่า ปีนี้กลุ่มเจมาร์ท พร้อมเดินหน้ารุกธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลเต็มตัว โดยมีบริษัท เจ ฟินเทค เป็นแกนนำ ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อปีนี้ 3,500 ล้านบาท รวมทั้งรุกธุรกิจฟินเทคที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจค้าปลีกในกลุ่มเจมาร์ท ผ่านบริษัทย่อย คือ เจ เวนเจอร์ส  ซึ่งถือเป็นอีกกุญแจสำคัญที่ผลักดันผลประกอบการในอนาคต และดันรายได้ปีนี้ให้เติบโตอีก 30% จากปีก่อน

ปัจจุบันกลุ่มเจมาร์ท มีฐานข้อมูลลูกค้า และลูกหนี้กว่า 5 ล้านราย ซึ่ง อดิศักดิ์ กล่าวว่า เป็นบิ๊ก ดาต้าในการนำมาต่อยอดธุรกิจได้อีกมาก

 

ข่าวล่าสุด

‘ม.สงขลาฯ’ ร่วมกรมการแพทย์ รับผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองรักษาด้วย CAR-T Cell