กลต.คุมเข้มผู้ขายบี/อี
มองตลาดกระตุก จับตาผู้บริหารเบี้ยว สั่งKCแก้งบการเงิน
มองตลาดกระตุก จับตาผู้บริหารเบี้ยว สั่งKCแก้งบการเงิน
โพสต์ทูเดย์ - ก.ล.ต.เข้มตัวกลางขายตราสารหนี้ที่ไม่มีเครดิต แจงความเสียหายการผิดนัดชำระยังไม่ฉุดตลาดรวม ตลาดกระตุกชั่วคราว
นายรพี สุจริตกุล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยถึงกรณีการผิดนัดชำระหนี้ของตราสารหนี้ที่ไม่มีเครดิต (หุ้นกู้/ตัวเงินระยะสั้น หรือ บี/อี) ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ว่า จะเพิ่มความเข้มข้นในการดูแลตัวกลางที่เป็นตัวแทนในการเสนอขายผลิตภัณฑ์ ทั้งบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ที่ต้องไปดูกระบวนการหรือระบบในการคัดสรรสินค้าว่ามีคุณภาพหรือไม่ รวมถึงกระบวนการให้ความรู้และการสื่อสารกับผู้ลงทุนว่าทำให้มีความเข้าใจต่อสินค้าและความเสี่ยงจากการลงทุนมากน้อยเพียงใด
อย่างไรก็ดี ผลเสียหายของการลงทุนตราสารหนี้ที่ไม่มีอันดับเครดิตจาก บจ.ทั้ง 3 แห่ง คือ บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป (NMG) บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น (IFEC) และบริษัท เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ (KC) ไม่สูงมากนัก โดยมีมูลค่าการผิดนัดชำระหนี้รวม 300-400 ล้านบาท เมื่อเทียบจากจำนวนคงค้างผู้ออกตราสารหนี้ที่ไม่มีเครดิต ซึ่งเป็นทั้งหุ้นกู้และตัวเงินระยะสั้นอยู่ที่ 2.6 แสนล้านบาท (ณ วันที่ 30 ก.ย. 2559) หรือคิดเป็น 7% ของตราสารหนี้เอกชนที่มียอดคงค้างทั้งหมด 3.58 ล้านล้านบาท
ปัจจุบันผู้ที่ลงทุนในตราสารหนี้ไม่มีอันดับเครดิตส่วนใหญ่เป็นผู้ลงทุนมิใช่รายย่อย (AI) และเป็นผู้ลงทุนที่มีเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่ง (ไพรเวทเวลธ์) เป็นหลัก ซึ่งประเมินว่ามีเพียงหลักไม่เกิน 1,000 คน เพราะจะมีบัญชีที่เปิดการลงทุนประมาณ 50 ล้านบาทขึ้นไป
ก.ล.ต.จะเข้าไปดูหลักเกณฑ์หรือการกำกับอย่างละเอียดต่อเมื่อเป็นการเสนอขายให้กับผู้ลงทุนทั่วไป (ไอพีโอ) ในวงกว้างเป็นหลัก ส่วนการนำเสนอขายให้กับผู้ลงทุนที่เป็นไฮเน็ตเวิร์กซึ่งส่วนใหญ่จะมีตัวกลางในการออก และการออกตราสารหนี้ไม่มีเครดิตในกรณีที่เสนอขายให้นักลงทุนแบบในวงจำกัด (พีพี) ไม่เกิน 10 คน ก.ล.ต.เข้าไปดูแลน้อย
แต่จากนี้ไปการเพิ่มความเข้มในการดูแลตัวกลางของกลุ่มไพรเวทเวลธ์มากขึ้น ขณะที่กลุ่มพีพีไม่ได้เข้าไป เพราะปกติเป็นการเสนอขายตราสารหนี้ที่ไม่มีเครดิตให้กับคู่ค้าหรือซับพลายเออร์ระหว่างกัน ซึ่งถ้า ก.ล.ต.เข้าไปดูจะเท่ากับเป็นการไปปิดประตูให้บริษัทไม่มีเครื่องมือทางการเงินที่หลากหลายหรือมีต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น
นายรพี กล่าวว่า การผิดนัดชำระหนี้ที่เกิดขึ้น เชื่อว่าจะไม่ส่งผลต่อภาวะตลาดตราสารหนี้ที่ยังจะโตต่อเนื่อง เนื่องจากปัจจุบันยังมีความต้องการของนักลงทุนอยูู่มาก เพราะเป็นยุคที่กำลังหาสินทรัพย์หรือผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลตอบแทนระดับสูง อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือที่ดีต่อบริษัทต่างๆ ทั้งที่จดทะเบียนหรือไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพราะทำให้มีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำไม่ต้องไปพึ่งพากับธนาคารพาณิชย์เพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ เชื่อว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้คือ การที่เกิดภาวะกระตุกไปสักพัก แต่ตลาดจะได้เรียนรู้และแยกแยะเป็นว่าอะไรคือความเสี่ยงต่ำและอะไรคือความเสี่ยงสูง สุดท้ายทุกอย่างก็จะดำเนินไปตามกลไกของตลาดที่ผ่านมาการผิดนัดชำระหนี้ NMG ถือเป็น บี/อี ที่มีการจัดอันดับเรตติ้ง แต่ทั้ง NMG และ IFEC ถือเป็นเรื่องที่ผู้ถือหุ้นมีความขัดแย้งระหว่างกัน
ล่าสุดวันที่ 6 ม.ค. นายวิชัย ถาวรวัฒนยงค์ กรรมการ IFEC แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ได้ขอเลื่อนชำระหนี้ตั๋ว บี/อี วงเงิน 200 ล้านบาท โดยมีกองทุนเปิดโซลาริสตราสารหนี้พริวิเลจ 3 เอ็ม 5 (S-PFI 3M5) ของ บลจ.โซลาริส เป็นผู้ลงทุน จากที่ครบกำหนดชำระเมื่อ 5 ม.ค. 2560 เลื่อนเป็น 11 ม.ค. 2560
ทั้งนี้ สำนักงาน ก.ล.ต.ยืนยันว่ากรณี IFEC กับ KC ได้มีการติดตามตัวผู้บริหารอยู่
ล่าสุด ก.ล.ต.ได้สั่งให้ KC แก้ไขงบการเงินปี 2558 และงบไตรมาส 3 ปี 2559 ซึ่งไม่ได้บันทึกหนี้สิินจากการออกตั๋วแลกเงินให้ถูกต้องและจัดให้มีผู้สอบบัญชีตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษเกี่ยวกับการออกบีอีการรับและการจ่ายเงินที่เกี่ยวข้องกับการบันทึกบัญชี


