‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ จับมือCKเพื่อประเทศ
โดย...ยินดี ฤตวิรุฬห์
โดย...ยินดี ฤตวิรุฬห์
บริษัท CKST Joint Venture บริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) ของตระกูลชาญวีรกูล เบอร์ 3 และบริษัท ช.การช่าง (CK) แห่งตระกูลตรีวิศวเวทย์ เบอร์ 2 วงการก่อสร้าง ที่เข้าร่วมประมูลโครงการรถไฟฟ้าสีส้ม ถือเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ในวงการ “อนุทิน ชาญวีรกูล” เจ้าของและผู้ถือหุ้นใหญ่ STEC เปิดใจว่า โครงการเพื่อประเทศ
อนุทิน กล่าวว่า ได้คุยกับ ปลิว ตรีวิศวเวทย์ ถึงความร่วมมือในการเข้าร่วมประมูลการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เฉพาะรถไฟสายสีต่างๆ เมื่อรัฐมีงานออกมาต่อเนื่อง ซึ่งเป็นงานที่ผู้ประกอบการและผู้รับเหมาก่อสร้างในประเทศสามารถทำได้ มีความเชี่ยวชาญ ชำนาญในก่อสร้าง จะให้ผู้ประกอบการต่างประเทศเข้ามามีกำไรแล้วนำเงินออกไปทำไม
การที่ผู้รับเหมาก่อสร้างไทยร่วมกันประมูลและได้งานมา ทุกอย่างจะหมุนเวียนในประเทศ การลงทุนของรัฐคือตัวขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจ ผู้รับเหมาก่อสร้างที่ได้งานก็ก่อให้เกิดการจ้างงานและทุกอย่างก็หมุนในระบบเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งความร่วมมือและการเป็นพันธมิตรครั้งนี้ทำเพื่อประเทศไทย
“เราพร้อมประมูลงานรัฐทุกโครงการ ที่ผ่านมามีต่างชาติติดต่อเข้ามาขอร่วมทุนเพื่อประมูล แต่เราก็เลือกที่จะจับมือกับผู้ประกอบการไทยและการที่รัฐประกาศแผนการลงทุนอย่างต่อเนื่องก็ยังเป็นโอกาสของการเติบโต ซึ่งในการเป็นพันธมิตรนั้นพร้อมเปิดรับกับทุกโอกาสที่เกิดขึ้น” อนุทิน กล่าว
ความร่วมมือกันไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีการแข่งขันเพราะยังมีผู้ที่เข้าร่วมประมูลแข่งอีกมากและกับ CK ในสายสีส้มจะเป็นสายแรก ถ้าหากเป็นไปได้ด้วยดีก็จะมีโอกาสต่างๆ เกิดขึ้นมาอีก STEC อยากจะลงไปทำงานรถไฟฟ้าใต้ดินด้วย และเมื่อเบอร์ 2 และเบอร์ 3 ร่วมมือกันในการซื้อวัตถุดิบหรือซื้อสินค้าเพื่อมาใช้ในการก่อสร้างทำไมจะไม่ได้ราคาที่ดีและไม่มีเหตุผลอะไรที่ผู้ผลิตจะไม่ให้ความสนใจและในการเข้าประมูลในทุกโครงการที่ออกมา STEC พร้อมฐานะการเงินแข็งแกร่งพอในการเข้าไปโดยไม่จำเป็นที่จะต้องเพิ่มทุน
รุกธุรกิจพลังงานทดแทน
อนุทิน กล่าวว่า การเข้าสู่การลงทุนในธุรกิจพลังงานทางเลือกนั้นก็เกิดขึ้นจากการที่ต้องการกระจายความเสี่ยงออกไปเพราะเห็นแล้วว่าการทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอย่างเดียวมีความเสี่ยงเรื่องนโยบาย ถ้าหากงานไม่มาก็ทำให้รายได้ไม่เติบโตมั่นคงดังนั้นการรุกเข้าไปและมีพันธมิตรที่ดี มีแผนธุรกิจ แผนการลงทุนที่ชัดเจนอย่าง บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ (TSE) ก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะเมื่อ STEC ไม่ชำนาญและถนัดในธุรกิจแต่มีคู่ที่ดีโอกาสที่จะถูกหลอกก็ไม่เกิดขึ้น
WAVE-TSE-STEC ได้ดีทุกฝ่าย
ภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ STEC กล่าวว่า การเข้าซื้อ TSE จะช่วยกระจายความเสี่ยงออกจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่มีความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายและด้วยธุรกิจที่เมื่อได้งานมาก็ทำและรับรู้และต้องหางานใหม่ๆ มาเติมตลอดเวลา การเข้าไปถือหุ้นในกิจการอื่นที่ดีมีอนาคตจะทำให้มีรายได้ประจำแน่นอน
สำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ปีหน้าคาดว่ารายได้จะโตจากปีนี้ 20% จากปีนี้ที่คาดว่าใกล้เคียงปีก่อนราว 1.8 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ รวม 5 หมื่นล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้ใน 3 ปี จะรับรู้ปีหน้าราว 2.1-2.2 หมื่นล้านบาท และอยู่ระหว่างเข้าประมูลงานใหม่มูลค่ารวม 1.4 แสนล้านบาท ประกอบด้วย รถไฟฟ้าสายสีส้ม 8 หมื่นล้านบาท รถไฟฟ้าสายสีเหลือง-ชมพู 5 หมื่นล้านบาท ที่เหลือเป็นงานรับเหมาก่อสร้างอื่น และหวังจะได้งาน 20-25% โดยจะทยอยประกาศตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป
แมทธิว กิจโอธาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการ WAVE กล่าวว่า จะนำเงินที่ได้จากการขายหุ้น TSE จำนวน 880 ล้านไปคืนหนี้ หนี้จะลดจาก 1,500 ล้านบาท เหลือ 700 ล้านบาท ลดดอกเบี้ยจ่ายราว 40 ล้านบาท/ปี ทำให้หนี้มีภาระหนี้ดอกเบี้ยต่อทุนลงจาก 1.4 เท่า เหลือ 0.8 เท่า ทำให้ฐานะการเงินแข็งแกร่งขึ้น และไตรมาส 4 จะบันทึกกำไรการขายเงินลงทุนด้วย โดยต้นทุนของบริษัทใน TSE อยู่ที่ 2.43 บาท ขายออกที่ราคา 4.85 บาท เท่ากับมีกำไร 2.42 บาท/หุ้น หรือ 438 ล้านบาท จึงมั่นใจว่าปีนี้จะพลิกมามีกำไรแม้ว่า งวด 6 เดือนแรกจะขาดทุน
“การซื้อกิจการเป็นการสร้างโอกาสเติบโตที่ดี ดูได้จากปี 2557 มีรายได้ 286 ล้านบาท แต่ในปีนี้จะมีรายได้ 3,000 ล้านบาท จากการเข้าซื้อ 3 ธุรกิจ คือ ธุรกิจอาหาร เจฟเฟอร์ ธุรกิจการศึกษา วอลสตรีท และธุรกิจบันเทิง Index Creative Village มีแผนจะซื้ออีก 2 ราย จะนำ Index Creative Village เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วย
แคทลีน มาลีนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TSE กล่าวว่า ซิโน-ไทยฯ จะสร้างการผนึกกำลังเชิงกลยุทธ์อย่างมีนัยสำคัญในแง่ต้นทุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าและคุณภาพของโรงไฟฟ้าในอนาคต เนื่องจากเป็น 1 ใน 3 ผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ของประเทศและได้การยอมรับในระดับสากล
ทั้งนี้ คาดว่า กำไรสุทธิปี 2561 จะเติบโตก้าวกระโดดจะรับรู้กำลังผลิตไฟฟ้าครบ 160 เมกะวัตต์ จากปัจจุบัน 100 เมกะวัตต์ ประกอบด้วยโซลาร์ฟาร์มในประเทศ 101 เมกะวัตต์ โซลาร์ฟาร์มญี่ปุ่น 37 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าชีวมวล 22 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างเจรจาเข้าลงทุนโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่นเพิ่มอีก 50-100 เมกะวัตต์ ซึ่งจะได้ข้อสรุปปีนี้ ส่วนคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ลดอัตราการรับซื้อไฟฟ้ารูปแบบที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง (FiT) เหลือ 4.1 บาท/หน่วย จาก 5.6 บาท/หน่วย จะกระทบต่ออัตรากำไรสุทธิเหลือ 50% จาก 60% แต่ไม่กังวลมากนัก หากมีการรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มขึ้นบริษัทก็จะได้
บริมาณกำลังการผลิตเพิ่มเข้ามา


