ลองขับฟอร์ด เฟียสต้า!!รถเล็กที่น่าลิ้มลอง
ความนุ่มนวล ในการเปลี่ยนเกียร์ เชื่อว่าจะกลายเป็นจุดขายสำหรับ เฟียสต้า ด้วยสำหรับกลุ่มลูกค้าที่เป็นหญิงสาวทั้งหลาย....
ความนุ่มนวล ในการเปลี่ยนเกียร์ เชื่อว่าจะกลายเป็นจุดขายสำหรับ เฟียสต้า ด้วยสำหรับกลุ่มลูกค้าที่เป็นหญิงสาวทั้งหลาย....
โดย....นิธิ ท้วมประถม [email protected]
ในที่สุดก็ได้ลองขับ ฟอร์ด เฟียสต้า น้องนุชคนสุดท้องของ ฟอร์ด เสียทีครับ หลังจากที่ฟอร์ดปล่อยให้คู่แข่ง เปิดตัวรถซิตี้คาร์ ขนาดเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ไปเกลื่อนเมืองแล้วก่อนหน้าหลายต่อหลายปี
แต่ก็ใช่ว่า เวลาที่เนิ่นนานนั้นจะเปล่าประโยชน์ เพราะฟอร์ด เองก็หมายมั่นปั้นมือ กับรถยนต์ในระดับบีคาร์ นี้ไว้ไม่น้อย เพราะทีมวิศวกรของฟอร์ดได้ศึกษาข้อดี-ข้อเสีย ของรถยนต์ค่ายคู่แข่ง เพื่อนำมาปรับปรุงให้ฟอร์ด เฟียสต้า ให้สามารถก้าวขึ้นมาแข่งขันในตลาดนี้ได้อย่างไม่อายใคร
และในที่สุด ฟอร์ด ก็คลอด เฟียสต้า ทั้งในรูปโฉม 4 ประตู และ 5 ประตูแฮทช์แบ็ก ลงมาวาดลวดลายบนท้องถนนเมืองไทย แต่ที่น่าสนใจไม่ใช่มีแค่รูปร่างหน้าตา แต่ยังมีเครื่องยนต์และเกียร์ ทึ่ค่อนข้างจะโดดเด่นไม่น้อย เพราะฟอร์ด เฟียสต้า นั้นมีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ขนาด คือ ขนาด 1.4 ลิตร และ 1.6 ลิตร ไร้ซึ่งเงาเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร
ความแตกต่างระหว่างเครื่องยนต์ 1.4 ลิตร และ 1.6 ลิตร ของฟอร์ด เฟียสต้า นั้นไม่ได้อยู่ที่ขนาดของเครื่องยนต์อย่างเดียว แต่อยู่ที่ระบบเกียร์ด้วยครับ เพราะเกียร์ของรุ่นเครื่องยนต์ 1.4 ลิตรนั้น จะเป็นเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อมสปอร์ตชิฟท์ ขณะที่รุ่นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร นั้นจะเป็นเกียร์พาวเวอร์ชิฟท์ 6 สปีด!!
ฟอร์ด เฟียสต้า เป็นรถขนาดเล็กที่ต้องการเข้ามามีส่วนแบ่งทางการตลาดในตลาดที่ถือว่าแข่งขันกันดุที่สุด ตลาดหนึ่งของเมืองไทย เมื่อเป็นเช่นนั้น ฟอร์ด จึงจำเป็นต้องใส่เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาให้เพียบ เพื่อจะได้สร้างจุดเด่นให้เหนือกว่าคู่แข่งที่เป็นเจ้าตลาด อย่างโตต้า วีออส โตโยต้า ยาริส ฮอนด้า ซิตี้ ฮอนด้า แจ๊ส ,มาสด้า 2 ทั้งรุ่น 4 ประตู และ 5 ประตู
ซึ่งจุดที่น่าสนใจคือ เหล็กที่ใช้ประกอบเฟียสต้า นั้นเป็นเหล็กที่มีความแข็งแกร่งสูงกว่าปกติ เพื่อสร้างความปลอดภัยของโครงสร้างตัวถัง และที่สำคัญฟอร์ด เฟียสต้า มีโครงเหล็กที่เป็นโครงกันชนหน้า-หลัง ซึ่งผมไม่เห็นในรถระดับเดียวกัน ดังนั้นเชื่อได้ว่าหากเกิดการชนด้านหน้า หรือหลัง จะมีกันชนจริงๆ กั้นแรงกระแทกอยู่ ไม่ใช่มีแค่กันชนที่เป็นไฟเบอร์ เหมือนอย่างที่เห็นอยู่แน่
นอกจากนี้ ยังมีออพชั่น สิ่งอำนวยความสะดวกภายในที่ใส่มาเหนือกว่าคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นระบบเครื่องเสียงที่มีระบบบลูทูธ นั่นหมายความว่า สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่เข้ากับระบบเครื่องเสียงภายในรถได้เลย แต่ก็ต้องระวังหน่อยนะครับ ว่าควรจะใช้แค่ตอนขับรถคนเดียวจะปลอดภัยกว่า ไม่อย่างนั้นความลับรั่วไหลหมด
ฟอร์ด เฟียสต้า รถเล็กที่น่าลิ้มลอง ของผู้ขับ อย่างเช่นเปิดวิทยุ โทรศัพท์ หรือปรับอุณหภูมิ เพียงแค่กดปุ่มการทำงานด้วยเสียง แล้วพูด ระบบก็จะทำงานทันที อย่างเช่นอยากเปิดวิทยุ ก็พูดว่า “RADIO” เครื่องเสียงก็จะเปิดทันที แล้วยังสามารถเปลี่ยนคลื่นวิทยุได้ด้วย แต่ก็ต้องพูดคลื่นวิทยุที่ต้องการเป็นภาษาอังกฤษครับ ผมลองแล้วก็สนุกดี หรือหากจะโทรศัพท์ก็พูดว่า “PHONE” ระบบก็จะเข้าสู่โหมดโทรศัพท์ทันที ซึ่งเราสามารถกดโทร.จากโทรศัพท์ หรือโทร.ออกด้วยเสียงได้ แต่ต้องบันทึกข้อมูลการโทร.ด้วยเสียงก่อนนะครับ ถึงจะโทร.ได้
รวมถึงปรับอุณหภูมิ ในรถก็พูดว่า “CLIMATE” ระบบก็จะเข้าสู่โหมดปรับอุณหภูมิ แล้วเราก็พูดอุณหภูมิที่เราต้องการไป ระบบก็จะปรับอุณหภูมิให้โดยอัตโนมัติ
ถือว่าระบบสั่งงานด้วยเสียง นี้คือจุดเด่นอย่างมากของ เฟียสต้า ครับ และเป็นจุดขายให้ ฟอร์ด เอามาโฆษณาได้อย่างสนุกมือเลยทีเดียว เป็นออพชั่นเท่ๆ ที่น่าสนใจ ไม่น้อย ซึ่งส่วนตัวแล้วผมชอบบลูทูธ ในระบบเครื่องเสียงอย่างเดียว ส่วนระบบสั่งงานอื่นๆ เฉยๆ ครับ กดปุ่มเอาง่ายกว่า
ส่วนรูปร่างหน้าตา นั้นดูได้จากภาพประกอบครับ เพราะเรื่องอย่างนี้ ก็แล้วแต่คนชอบครับ ซึ่งฟอร์ด ออกแบบ เฟียสต้าภายใต้แนวคิด “เคเนอติก ดีไซน์” ที่ต้องการสื่อถึงความรู้สึกของการเคลื่อนไหวแม้ในขณะที่รถหยุดนิ่ง ซึ่งก็ลองดูครับว่าจริงหรือเปล่า
ซึ่งทีมออกแบบของฟอร์ด บอกว่า รูปโฉมด้านหน้าของเฟียสต้าใหม่ เป็นการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของฟอร์ดอย่างชัดเจน ตั้งแต่ช่องดักลมขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมคางหมู ประดับตราสัญลักษณ์บลู โอวอล ของฟอร์ดอย่างโดดเด่นกลางกระจังหน้า เสริมความโฉบเฉี่ยวด้วยไฟหน้าทรงเรียวที่ตวัดปลายไปยังด้านหลัง เชื่อมต่อฝากระโปรงหน้าเข้ากับบังโคลนหน้าที่มีลักษณะเป็นมัดกล้ามทรงสปอร์ต
ส่วนด้านหลังของรถ องค์ประกอบในการออกแบบต่างๆ ได้รับการจัดวางไว้อย่างลงตัว มอบความโดดเด่นให้กับเฟียสต้าใหม่ด้วยกระจกด้านหลังของรถที่ทำมุมเป็นรูปตัววีตรงส่วนท้าย เส้นโค้งหลังคาที่ลื่นไหลต่อเนื่องมายังสปอยเลอร์ และไฟเบรกขนาดใหญ่พร้อมรายละเอียดของโคมแบบรังผึ้งด้านบนในรุ่น 5 ประตู ซุ้มล้อด้านหลังเน้นย้ำการออกแบบที่มีลักษณะของมัดกล้ามทรงสปอร์ต เพิ่มความโดดเด่น และเน้นย้ำถึงพละกำลังของเฟียสต้า
ทิศทางการออกแบบที่สร้างความแตกต่างอย่างไม่เหมือนใครให้กับรูปโฉมภายนอกของเฟียสต้าใหม่ ได้รับการถ่ายทอดต่อมายังห้องโดยสารที่เร้าใจ และเชื้อเชิญให้สัมผัส ไม่ว่าจะเป็นพื้นผิวที่ได้รับการออกแบบอย่างโดดเด่น คุณภาพของวัสดุ และการใช้สีตัดกันภายในห้องโดยสาร ล้วนมีส่วนช่วยสะท้อนความมีเอกลักษณ์ของเฟียสต้าใหม่ เช่นเดียวกับผู้ขับขี่มีความเป็นตัวของตัวเอง
แต่ต้องยอมรับว่า เจ้าเฟียสต้า นี้ดูเฉี่ยว ทันสมัยไม่น้อย โดยเฉพาะไฟหน้าเรียวๆ อย่างนี้ทันสมัยดีครับ แต่ส่วนตัวแล้ว ผมว่าเจ้ารุ่น 5 ประตู นั้นดูลงตัวมากกว่ารุ่น 4 ประตู ไม่น้อยทีเดียว ซึ่งในรุ่น 4 ประตูนั้น ดูแปลกๆ โดยเฉพาะด้านหลังของรุ่น 4 ประตู เชยจัง เหมือนกับรถเกาหลีรุ่นเก่าๆ ยังไงไม่รู้
แต่ก็ต้องรอดูการตอบรับของลูกค้าว่าจะเป็นอย่างไร เพราะถ้าดูจากสถิติยอดขายแล้วส่วนใหญ่รถ 4 ประตู จะขายดีกว่า 5 ประตู ทั้งนั้น
ข้ามจากรูปร่างหน้าตา กระโดดเข้าสู่ภายในกันเลย โดยรุ่นที่ได้ขับคันแรก คือรุ่น 1.6 ลิตร 5 ประตู ซึ่งจะว่าไปแล้วภายในของทั้งรุ่น 4 ประตู และ 5 ประตู นั้นเหมือนกันเกือบ 99% แล้วครับ อย่างมาตรวัดต่างๆ ที่มีกรอบเป็นวงรีนิดๆ เหมือนกับนัยน์ตาของชาวจีนหน่อยๆ ดูแปลกตาดี
มาตรวัดขนาดใหญ่ 2 วง มีทั้งรอบเครื่องยนต์ และมาตรวัดความเร็ว และมีช่องบอกตำแหน่งเกียร์เอาไว้ให้เห็นด้วย จะได้ไม่ต้องก้มดูที่แป้นเกียร์เหมือนกับ เชฟโรเล็ต อาวิโอ และมีจอบอกอัตราการสิ้นเปลือง หรือจะเลือกเป็นระยะทางที่วิ่งได้เมื่อคำนวณกับเชื้อเพลิงที่เหลือในถัง
เลื่อนสายตาไปยังคอนโซลกลาง ก็ต้องพบกับความแปลกตาของคอนโซลกลาง ที่ช่องแอร์ 3 ช่อง ที่หลายคนบอกว่าเหมือนหน้ากากหุ่นยนต์ แต่ผมมองว่าเหมือนหน้ากากของเจ้า Predator นักล่าสายพันธุ์นอกโลกที่มาเขย่าคอภาพยนตร์เมืองไทยถึง 4 ภาคไปแล้ว
บนช่องแอร์ทั้ง 3 ช่อง เป็นจอแสดงข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องเสียง ไม่ว่าจะเป็นสถานีวิทยุ ชื่อเพลงในซีดี ชื่อเพลงในอุปกร์เอ็มพี 3 หรือ ในไอพอด เพราะเฟียสต้า มีช่อง aux สำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เครื่องเล่นเอ็มพี 3 ของเจ้าของรถได้อย่างสบายๆ
ส่วนด้านล่างของช่องแอร์นั้น เป็นปุ่มปรับอุณหภูมิ ที่มีทั้งแบบอนาล็อก และดิจิตอล ขึ้นอยู่กับเงินที่มีในกระเป๋าครับ มีมากก็เลือกแบบดิจิตอล มีน้อยก็เลือกแบบมือหมุนปรับอุณหภูมิเอา
หันมามองที่เกียร์ แป้นเกียร์เป็นเกียร์อัตโนมัติแบบทั่วไป ไม่มีตำแหน่งเกียร์ + /- ให้เปลี่ยนแต่อย่างใด มีแต่ L และ D เท่านั้น แต่ถ้าเป็นรุ่นเครื่องยนต์ 1.4 ลิตร เกียร์จะมีตำแหน่ง +/- ไว้ให้ด้วย
ภายในของ เฟียสต้า ถือว่ากว้างขวางไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นที่นั่งตอนหน้าหรือที่นั่งผู้โดยสารตอนหลัง หลังคาถูกออกแบบมาสูงใช้ได้ทีเดียว ทั้งรุ่น 4 ประตู และ 5 ประตู ไม่ต้องกลัวว่าศรีษะผู้โดยสารตอนหลังจะติดหลังคาให้รำคาญใจ ลองนั่งดูแล้ว ผมว่า เฟียสต้า เป็นรถยนต์ขนาดเล็ก ที่มีห้องโดยสารกว้างขวางรุ่นหนึ่งทีเดียว
ส่วนห้องเก็บสัมภาระด้านหลังนั้น มีขนาดกว้างขวางไม่น้อย แต่น่าเสียดาย เมื่อพับเบาะแถวหลังเพื่อเพิ่มที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลังแล้วปรากฏว่า เบาะไม่แบนราบไปกับพื้นรถ เหมือนกับ ฮอนด้า แจ้ส ซึ่งน่าเสียดายครับ หากเบาะปรับแบนราบได้ เฟียสต้า จะเป็นรถที่มีอรรถประโยชน์มากทีเดียว
จากภายในเราก็มาลองขับกันดีกว่าครับ สตาร์ทรถเรียบร้อย เสียงเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร ครางเบาๆ เข้ามาในห้องโดยสาร ลองกดปุ่มสั่งคำสั่งด้วยเสียง ซึ่งอยู่ตรงก้านหลังพวงมาลัยด้านซ้าย แล้วสั่งคำสั่งต่างๆ ลงไป ก็สนุกดีครับ ต่อมาก็เชื่อมต่อบลูทูธ ระหว่างโทรศัพท์กับเครื่องเสียงในรถยนต์ ก็ไม่มีปัญหา ถือเป็นออพชั่น “สุดเด่น” ของ เฟียสต้า ที่น่าจะทำให้ “ขายดี” ไม่น้อย
สตาร์ทเครื่องยนต์แล้ว ก็ออกตัวกันเลยดีกว่าครับ เกียร์ถูกเลื่อนมาในตำแหน่ง D รถก็เคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว การออกตัว ถือว่าดีมากสำหรับรถยนต์เครื่อง 1.6 ลิตร ปรู๊ดปร๊าดดีครับ ถ้าเจอกับรถติดๆ อัตราเร่งแบบนี้ บอกได้เลยว่า แจ่มมาก เครื่องยนต์นุ่มนวลดีครับ ไหลลื่นดี สำหรับการเร่งแซงในความเร็วต่ำๆ การออกตัว การหยุด ในช่วงความเร็วที่ใช้งานในเมืองคือ ไม่เกิน 40-60 กม.ต่อชม.นั้น ต้องชูนิ้วให้เลยครับ เครื่องยนต์นุ่มนวลดีจริงๆ ยิ่งทำงานคู่ไปกับ ระบบเกียร์แบบพาวเวอร์ชิฟท์ 6 สปีด แล้ว ยิ่งทำให้นุ่มนวลมากครับ ไม่ปรากฏอาการกระตุกของการเปลี่ยนเกียร์ให้รู้สึกแต่อย่างใด
จะรู้สึกแต่เพียงว่ากดคันเร่ง แล้วรอบเครื่องยนต์และความเร็วของรถปรับเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ แบบรถไฟฟ้าเลยครับ ไม่มีกระตุกช่วงเปลี่ยนเกียร์ ทำให้การใช้งานในเมืองที่ความเร็วไม่สูงมากนัก เต็มไปด้วยความสบาย
การเก็บเสียงจากภายนอกก็ต้องถือว่า ดีที่สุดในรถระดับเดียวกัน เพราะมีเสียงจากภายนอกแทรกเข้ามาได้น้อยมาก ทำให้สามารถอิ่มเอม จากเสียงเพลงภายในรถได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ ซีดี เอ็มพี3 ไอโฟน หรือ ไอพอด เชื่อมต่อได้หมดฟังให้เพลินครับ
แต่เจ้าความนุ่มนวลของเกียร์พาวเวอร์ชิฟท์ นั้น กลับสร้างความหงุดหงิดให้กับผม เมื่อต้องขับเฟียสต้า ด้วยความเร็วที่เกินกว่า 90 กม./ชม. เพราะความนุ่มนวลในการเปลี่ยนเกียร์ เริ่มทำให้ผมรู้สึกว่าเจ้ารถคันนี้ มีนิสัยการเร่งแซงแปลกๆ คือไม่มีจังหวะกระชากของตัวรถ แม้ว่าเราจะคิ๊กดาวน์ เพื่อเร่งแซงอย่างเต็มที่ รถก็จะค่อยเร่งๆ แบบนุ่มนวลไปเรื่อยๆ ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจในการเร่งแซง ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
หันไปมองที่ตำแหน่งเกียร์ ก็ไม่มีเกียร์ 4 เกียร์ 3 ให้เปลี่ยนลงมาเพื่อเรียกรอบเร่งแซง เลยทำให้ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ ส่วนตัวแล้วผมไม่มั่นใจว่า รอบเครื่องยนต์จะมาทันในช่วงที่เราต้องการเร่งแซงหรือเปล่า ซึ่งจุดนี้ ผมถือว่า เกียร์พาวเวอร์ ชิฟท์ กลายเป็นดาบสองคม สำหรับเฟียสต้าไปแล้ว
ความนุ่มนวล ในการเปลี่ยนเกียร์ ผมปรบมือให้ และเชื่อว่าจะกลายเป็นจุดขายสำหรับ เฟียสต้า ด้วยสำหรับกลุ่มลูกค้าที่เป็นหญิงสาวทั้งหลาย ที่ไม่ต้องการใช้ความเร็วในการขับรถมากนัก แต่ในเรื่องของการเร่งแซงนั้นต้องมาคุยกันยาวๆ แม้ว่าผมจะกดปุ่มด้านข้างเกียร์ ซึ่งเหมือนกับเป็นปุ่ม โอเวอร์ไดรฟ ซึ่งทางฟอร์ด ทำมาไว้สำหรับเวลาลงเขา เพื่อที่จะได้ลากรอบเครื่องยนต์ให้เป็นเหมือน engine brake แล้ว รอบเครื่องยนต์ก็ยังไม่พุ่งเหมือนที่ใจอยาก
นอกจากนี้ สิ่งที่ผมอยากจะลองกับฟอร์ด เฟียสต้า เกียร์พาวเวอร์ชิฟท์ อีกอย่างคือการขับขึ้นเขา ซึ่งเกียร์ที่มีให้เลือก แค่ L กับ D นั้น เหมาะสมเพียงพอหรือไม่ กับการขับขึ้นเขาในเส้นทางไกลๆ หรือไม่ ก็ต้องขอลองอีกครั้ง
ยังงงๆ กับเครื่องยนต์ 1.6 มาก็มาต่อที่เครื่อง 1.4 ลิตร ซึ่งเป็นเกียร์แบบสปอร์ต ชิฟท์ ซึ่งสามารถเปลี่ยนเกียร์เองได้ด้วย ซึ่งส่วนหนึ่งผมเชื่อว่าทางฟอร์ด กลัวว่าหากปล่อยให้ เครื่อง 1.4 ทำงานเกียร์เดียว คือเกียร์ D น่าจะไปไม่รอด ก็ต้องให้มีระบบการเปลี่ยนเกียร์เองมาช่วยด้วย ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
การออกตัวของ รุ่น 1.4 นั้นแตกต่างจาก 1.6 อย่างเห็นได้ชัดในเรื่องของความนุ่มนวล โดยเจ้ารุ่น 1.4 กลับมาเหมือนกับรถทั่วๆ ไปคือลากรอบเครื่องยนต์ไประดับหนึ่ง แล้วถึงตัดไปเกียร์ต่อไป ทำให้เกิดอาการกระตุกระหว่างเปลี่ยนเกียร์ แต่ก็ให้ความรู้สึกสะใจ และมั่นใจไม่น้อย คราวนี้ผมต้องขับตามหลังรุ่น 1.6 แต่ไม่มีปัญหาครับ เข้า D กดคันเร่งไป หากต้องการเร่งแซง เปลี่ยนเกียร์มาที่ตำแหน่งเครื่องหมาย “ –“ เกียร์ ก็จะปรับลงมา 1 ตำแหน่งแค่นี้ รอบเครื่องก็พุ่งปรี๊ด อัตราเร่งก็กลับคืนมาแล้ว
น่าเสียดายที่เกียร์ของรุ่น 1.4 มีแค่ 4 เกียร์ ถ้ามี 5 เกียร์ จะน่าใช้กว่านี้มากๆ ซึ่งการลองขับของผม ผมรู้สึกว่า เครื่องยนต์ 1.4 ลิตร ก็น่าเล่นไม่น้อยสำหรับคนที่ต้องการขับแบบสนุก มากกว่าสบายๆ แบบไร้อารมณ์ เพราะช่วงล่างของทั้ง 2 รุ่นนี้เหมือนกันครับ ไม่มีปัญหา ไว้ใจได้
ส่วนเรื่อง การทรงตัวนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ไว้ใจได้ครับ ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท คอยส์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง และระบบช่วงล่างด้านหลังแบบกึ่งอิสระทอชั่นบีม ขับแบบดุๆ ได้เลย ที่สำคัญและน่าปรบมือให้คือ รถทุกรุ่นของฟอร์ด มาพร้อมกับระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรกอัตโนมัติ (EBD) ซึ่งหาไม่ได้ในยี่ห้ออื่นๆ ครับที่มีให้มาแต่รุ่นท็อป
ส่วนสีสันนั้น หลากหลาย มีตั้งแต่ สีดำ Black Mica, สีขาว Cool White, สีบรอนซ์เงิน Highlight Silver, สีเทาเข้ม Metropolitan Gray, สีทอง Sparkling Gold, สีน้ำเงินน้ำทะเล Phantom Blue, สีแดงเพลิง True Red, สีน้ำเงิน Aurora Blue และสีส้มแดง Chili Orange
จะว่าไปแล้ว ฟอร์ด เฟียสต้า เครื่อง 1.6 ลิตร นี้เป็นทางเลือกสำหรับลูกค้าที่ขับแบบรักสบายๆ ส่วนรุ่น 1.4 ลิตร นั้นสำหรับลูกค้าที่ชอบขับแบบสนุก มีความสุขกับการลากรอบเครื่องเพื่อเร่งแซง และด้วยออพชั่น เพียบแบบนี้ ผมว่า ตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็กระอุแน่!!
ตารางราคาฟอร์ดเฟียสต้า


