เวนิสตะวันออก
ฟังกลุ่มนักไวโอลินกำลังบรรเลงซีรี่ส์เพลงคลาสสิก “สี่ฤดู” (The Four Seasons) ที่ประพันธ์โดยคีตกวีชื่อก้องโลก แอนโตนิโอวิวัลดี (Antonio Vivaldi) ณ เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี แม้ว่าจะไม่ใช่นักฟังเพลงคลาสสิกมืออาชีพ แต่ก็ซึ้งถึงความงดงามของเพลงจนสงสัยว่า คีตกวีอัจฉริยะชาวเมืองเวนิสท่านนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากไหน ถึงประพันธ์เพลงได้ไพเราะเหนือคำบรรยาย แล้วผมก็เข้าใจเมื่อได้สัมผัสเมืองเวนิส นครแห่งร้อยคลอง ติดทะเลเอเดรียติก แห่งนี้
ฟังกลุ่มนักไวโอลินกำลังบรรเลงซีรี่ส์เพลงคลาสสิก “สี่ฤดู” (The Four Seasons) ที่ประพันธ์โดยคีตกวีชื่อก้องโลก แอนโตนิโอวิวัลดี (Antonio Vivaldi) ณ เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี แม้ว่าจะไม่ใช่นักฟังเพลงคลาสสิกมืออาชีพ แต่ก็ซึ้งถึงความงดงามของเพลงจนสงสัยว่า คีตกวีอัจฉริยะชาวเมืองเวนิสท่านนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากไหน ถึงประพันธ์เพลงได้ไพเราะเหนือคำบรรยาย แล้วผมก็เข้าใจเมื่อได้สัมผัสเมืองเวนิส นครแห่งร้อยคลอง ติดทะเลเอเดรียติก แห่งนี้
เวนิส เป็นเมืองท่าค้าขายในอดีต สวยงามด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่ ตั้งแต่ยุคโรมันจนมาเฟื่องฟูในยุคเรอเนสซองซ์ ปัจจุบันกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวปีละหลายสิบล้านคน เมืองแห่งนี้เป็นเกาะ ภายในมีคลองนับร้อย ผู้คนจึงเดินทางสัญจรด้วยเรือกอนโดลา (Gondola) และมีคลองใหญ่ (The Grand Canal) เปรียบดังแม่น้ำสายหลัก เป็นกระดูกสันหลังของเมือง ดังเช่นแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพฯ ลักษณะทางกายภาพของเวนิสจึงคล้ายกับเขตเกาะรัตนโกสินทร์ชั้นในมาก ทำให้ครั้งหนึ่งชาวตะวันตกเคยขนานนามกรุงเทพฯ ของเราว่า เป็นเมืองที่มีแม่น้ำลำคลองเชื่อมโยงกันสวยงามเปรียบดัง “เวนิสตะวันออก”
ปัจจุบันเวนิสยังคงสวยงาม เป็นเมืองมรดกโลกแห่งการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรม การเดินทางก็ยังใช้เรือไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้เวลาผ่านไปหลายศตวรรษ นักท่องเที่ยวและผู้คนในเมืองเมื่อเข้ามาในเขตเกาะแล้ว จะต้องเดินเท้าเท่านั้น
ที่แตกต่างกับกรุงเทพฯ คือ แม้บนเกาะเวนิสไม่มีรถ แต่ทุกคนสามารถเข้าถึงและเชื่อมโยงได้ทุกพื้นที่ ด้วยทางเดินริมน้ำ ริมคลอง ทางเดินที่ว่านี้ได้มีการปรับปรุงพัฒนามาโดยตลอด เป็นทางเดินหินและคอนกรีตที่ลัดเลาะริมคลอง ยาวต่อเนื่องไปจนถึงแม่น้ำหรือคลองใหญ่ของเมือง ที่สร้างทางเดินกว้างขวางตลอดทั้งแนวริมน้ำ ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในจุดใดก็ตามของเมือง ก็สามารถเข้าถึงแม่น้ำได้ เส้นทางเดินนี้จะเชื่อมเข้ากับจัตุรัสกลางเมือง (Piazza SanMarco) เปรียบได้กับสนามหลวง ที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องมาถ่ายรูป ชมความงดงามของหอคอย และวิหารประจำเมือง เป็นเมืองแห่งสายน้ำที่ลงตัว ที่ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะชนชาติใด คนหนุ่มสาว ผู้สูงอายุ หรือแม้กระทั่งคนพิการที่ใช้รถเข็น ก็สามารถสัญจรเข้าถึงสายน้ำของเวนิสได้
โรงแรมและร้านอาหารส่วนใหญ่บนเกาะเวนิสจะมีพื้นที่ทางเดินริมน้ำให้กับผู้คนได้ใช้ร่วมกัน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่ต้องไปเสียเงินเข้าร้านเพื่อชมวิว หากไม่มีเจตนาจะนั่งดื่มหรือทานข้าว ตกเย็นจะเห็นครอบครัวนักท่องเที่ยวนั่งเล่น เดินเล่นริมน้ำ ดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าอย่างมีความสุข ในพื้นที่สวยงามที่สุดของเมือง ที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ทุกคนได้ใช้ร่วมกัน ผมเห็นจิตรกรมานั่งวาดรูป เห็นเด็กๆ มาเล่นดนตรี ร้องเพลง ประสานเสียงกับสายน้ำ เวนิสจึงเป็นเมืองแห่งแรงบันดาลใจ ที่สร้างสุดยอดนักคิดสร้างสรรค์ และศิลปินระดับโลกคนแล้วคนเล่า
วันนี้กรุงเทพฯ เมืองแห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและคลองงดงามในอดีต แทบไม่มีมรดกตกทอดให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้รู้จัก ได้เข้าใจ ได้เข้าถึงการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ตามลำน้ำ เพราะถูกปิดกั้น ถูกตัดขาด ความสวยงามของทรัพยากรธรรมชาติ และศิลปวัฒนธรรม จึงถูกซ่อนเร้นไว้อย่างน่าเสียดาย
หากคนกรุงเทพฯ และคนไทยมีโอกาสได้เข้าถึงเจ้าพระยาอย่างเท่าเทียม จะได้รับแรงบันดาลใจจากพลังแห่งสายน้ำ พลังแห่งวัฒนธรรมไทย ดังเช่นคนเวนิส เพราะความดีงาม ความสวยงามในใจของมนุษย์ ต้องได้รับแรงบันดาลใจ ถึงจะเกิดพลังสร้างสรรค์ที่ดีที่สุด
หากกรุงเทพฯ กลับมาเป็นเวนิสตะวันออกอีกครั้ง คงจะดีไม่น้อย


