"สหภัณฑ์ เซ็นจูรี่"แตกธุรกิจอาหารครีเอทีฟ
ทายาทรุ่นสาม "สหภัณฑ์ เซ็นจูรี่"แตกธุรกิจอาหารครีเอทีฟ
เรื่อง วราภรณ์ เทียนเงิน
ทายาทรุ่นที่สามของ บริษัท สหภัณฑ์ เซ็นจูรี่ ได้ขยายธุรกิจใหม่ ไปสู่ ธุรกิจอาหารที่มีความครีเอทีฟ และความล้ำหน้า เพื่อเปิดตลาดใหม่ให้แก่อาหารไทยทั้งในประเทศและตลาดโลก พร้อมมุ่ง จะสร้างสินค้าอาหารไทยที่มีนวัตกรรม เพื่อมัดใจลูกค้าทั่วโลก
“ทรงวิทย์ หงสประภาส” ผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม บริษัท สหภัณฑ์ เซ็นจูรี่ ผู้ประกอบธุรกิจอาหารสำเร็จรูปพร้อมทานแบรนด์ อินเตอร์กุ๊ก (Inter cook) และสวีท มี (Sweet mee) เปิดเผยว่า ได้เปิดตัวสินค้าแบรนด์ใหม่ “อินเตอร์ กุ๊ก” เข้ามาทำตลาดอย่างเป็นทางการประมาณสองปีที่ผ่านมา โดยอยู่ในรูปแบบอาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทานในถุงทนความร้อน หรือ รีทอร์ต เพาซ์ (Retort Pouch) ซึ่งได้นำเสนอของสินค้าที่มีความแปลกใหม่ ทั้งการนำเสนอเมนู สปาเกตตี้ เส้นบุก เป็นรายแรกในประเทศ เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่สนใจดูแลสุขภาพ
ทั้งนี้ มุ่งการสร้างสินค้าที่เป็น อาหารที่มีนวัตกรรม (อินโนเวชั่น ฟู้ด) เพราะองค์กรถือเป็นเอสเอ็มอี จึงต้องสร้างนวัตกรรมให้แก่สินค้า เพื่อเปิดตลาดใหม่ และหาช่องว่างในตลาด โดยการสร้างนวัตกรรม อาจจะไม่ใช่สินค้าแบบใหม่ เพียงอย่างเดียว แต่นวัตกรรมยังรวมถึง วิธีการคิดแบบใหม่ และกระบวนการนำเสนอสินค้าแบบใหม่ก็ได้
ขณะเดียวกัน การสร้างสินค้าใหม่ มาจากการที่ บริษัทพร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็นจากลูกค้า และทิศทางตลาด เพื่อนำมาปรับใช้กับสูตรและเมนูใหม่ของอาหาร พร้อมกับยังร่วมมือกับนักวิจัยในมหาวิทยาลัยอย่างใกล้ชิด เพื่อร่วมพัฒนาสินค้า และยังรับผลิตสินค้าต้นแบบให้แก่ลูกค้าที่ทดลองเมนูใหม่ๆ ทำให้เอสเอ็มอีรายอื่นๆ มีช่องทางที่จะสร้างสินค้าต้นแบบในโรงงาน
การสร้างตลาดที่แตกต่างของแบรนด์อีกด้านคือ การนำเสนอสินค้าที่วางตำแหน่งสินค้าแบรนด์ อินเตอร์ กุ๊ก เป็นสินค้าชุดของฝาก เจาะตลาดลูกค้านักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย มีบรรจุภัณฑ์ (แพคเกจจิ้ง) สวยงาม และเน้นวางจำหน่ายในช่องทางกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวจำนวนมาก อีกทั้งยังมีวางจำหน่ายในสายการบิน บางกอกแอร์เวย์ส
ทรงวิทย์ กล่าวต่อว่า ในปีที่ผ่านมาได้ขยายกลุ่มสินค้าใหม่ไปยัง แบรนด์ สวีท มี หรือ ครีมข้าวเหนียวทุเรียน ที่มีรสชาติของทุเรียนและข้าวเหนียวมูล โดยเริ่มเจาะตลาดสินค้ากลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ และตลาดประเทศจีน ที่ได้ทำตลาดผ่านงานแสดงสินค้า ในประเทศจีน ถือเป็นสินค้าใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน ผ่านการร่วมมือกับ ทีมวิจัยในมหาวิทยาลัย
แผนงานในปีนี้ บริษัทได้มีการลงทุนใหญ่รอบ 5 ปี เพื่อขยายกำลังการผลิตสินค้าสองแบรนด์ดังกล่าว รองรับกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าในไทย เปรียบเสมือนการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศเช่นเดียวกันแต่ผ่านลูกค้านักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศ และการลงทุนใหม่ ยังรองรับการขยายตลาดไปประเทศจีน
ทรงวิทย์ กล่าวว่า การแข่งขันในตลาดธุรกิจสินค้าอาหารมีความรุนแรงและมีแบรนด์จำนวนมาก สิ่งสำคัญสำหรับแบรนด์ใหม่ที่เข้ามาทำตลาดคือ การหาโอกาสและช่องว่างในตลาดที่มีอยู่ให้ได้ ต้องสร้างสินค้าที่มีจุดเด่น มีเอกลักษณ์ มีความแตกต่าง พร้อมกับมุ่งคิดค้นและสร้างสินค้นใหม่ ขณะเดียวกัน การทำธุรกิจทุกคนสามารถประสบความสำเร็จและคิดสิ่งใหม่ได้ เพราะฉะนั้น อย่าหยุดนิ่ง ต้องเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
“ผมเป็นหนึ่งในรุ่นที่สามเข้ามาทำธุรกิจของครอบครัว โดยธุรกิจครอบครัวเริ่มจากการทำเกี่ยวกับ สมุนไพร ยาแผนปัจจุบัน และยาแผนโบราณ ต่อมาได้ขยายธุรกิจสู่สินค้าของใช้ส่วนบุคคล เช่น ยาสีฟัน สบู่ ที่มีการส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน และสร้างยอดขายได้ดี โดยตนเอง ได้เรียนจบมาทางด้าน วิทยาศาสตร์การอาหาร เมื่อเข้ามาช่วยธุรกิจครอบครัว จึงขยายธุรกิจใหม่สู่ ธุรกิจอาหาร” ทรงวิทย์ กล่าว
ทรงวิทย์ กล่าวต่อว่า การขยายสู่ธุรกิจอาหาร ถือเป็นสิ่งใหม่ของบริษัท ทุกอย่างคือ การเรียนรู้ใหม่ และยังเผชิญการแข่งขันจากแบรนด์จำนวนมาก จึงเริ่มจากการเป็นผู้รับจ้างผลิตสินค้ามาก่อน และมีการส่งออกสินค้าไปตลาดยุโรปหลายประเทศ เพื่อได้เรียนรู้และพัฒนาสินค้า พร้อมกับรับผลิตสินค้าต้นแบบให้ลูกค้าด้วย ซึ่งบริษัทยึดนโยบายให้คู่ค้าทุกรายเติบโตกับองค์กรไปพร้อมกัน คู่ค้าทุกคนคือเพื่อนที่พร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำทุกด้าน
แผนงานของธุรกิจในระยะต่อไป จะขยายกลุ่มสินค้าอาหารให้มากขึ้น พร้อมกับมุ่งสร้างนวัตกรรมให้แก่อาหาร เพื่อสร้างธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว


