เมื่อ "เกาหลีเหนือ" ก็มีสตาร์ทอัพ
ใครเลยจะคิดว่าประเทศที่แทบไม่รู้จักระบบค้าขายอิสระ จะเริ่มทำความรู้จักกับสตาร์ทอัพอย่างเงียบๆ
โดย...www.m2fnews.com
แม้ว่าทุกวันนี้จะเหลือประเทศคอมมิวนิสต์เพียง 5 ประเทศในโลก ซึ่งได้แก่ จีน เวียดนาม ลาว คิวบา และเกาหลีเหนือ แต่ทั้งหมดนี้มีเพียงเกาหลีเหนือเท่านั้นที่ยังปิดประเทศอย่างเหนียวแน่น และแทบไม่เปิดรับระบบเศรษฐกิจแบบตลาดหรือกระแสทุนนิยมเลย ทุกอย่างยังจัดการโดยรัฐเกือบ 100% แม้แต่อาหารและของกินของใช้ก็ยังต้องรอคอยการแจกจ่ายโดยรัฐผ่านระบบส่วนแบ่ง (Rationing) โดยไม่มีการซื้อขายสินค้าอย่างเสรีเหมือนประเทศอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม หลังจากวิกฤตอดอยากในช่วงทศวรรษที่ 90-2000 ชาวเกาหลีเหนือไม่อาจรอคอยความช่วยเหลือจากรัฐได้อีก พวกเขาเริ่มออกมาค้าขายตามตลาดมืด จนกระทั่งรัฐบาลไม่สามารถทนแรงกดดันได้ ต้องอนุญาตให้ประชาชนค้าขายได้พอควร นับแต่นั้นชาวเกาหลีเหนือก็เริ่มลิ้มรสชาติของระบบตลาดและทุนนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
ใครเลยจะคิดว่าประเทศที่แทบไม่รู้จักระบบค้าขายอิสระ จะเริ่มทำความรู้จักกับสตาร์ทอัพอย่างเงียบๆ
โชซอน เอ็กซ์เชนจ์ (Choson Exchange) เป็นองค์กรเอกชนที่สนับสนุนการทำธุรกิจในหมู่ชาวเกาหลีเหนือ ผ่านการฝึกฝนในเวิร์กช็อป การให้คำปรึกษา และการให้ทุนการศึกษากับปัจเจกบุคคลในดินแดนที่ปิดตายแห่งนี้ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ โดยเฉพาะคำว่าปัจเจกบุคคลกับคำว่าธุรกิจ เป็นคำที่สะท้อนแนวคิดเสรีนิยมและทุนนิยม ที่ผู้นำเกาหลีเหนือมองว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจมาตลอด
คำถามก็คือ เหตุใดเกาหลีเหนือถึงเปลี่ยนใจมาศึกษาระบบทุนนิยม แถมยังส่งเสริมให้ประชาชนเรียนรู้สตาร์ทอัพ?
คำตอบอยู่ที่ชายชาวสิงคโปร์ที่ชื่อ จอฟฟรีย์ ซี (Geoffrey See)
จอฟฟรีย์ ซี เป็นชาวสิงคโปร์โดยกำเนิด จบปริญญาตรีที่สหรัฐ โดยได้เกียรตินิยมจากสถาบันวอร์ตัน แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ซึ่งตักษิลาด้านธุรกิจชั้นแนวหน้าของโลก จบปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเยล และเป็นนักวิจัยของ MIT แถมยังเป็นที่ปรึกษาด้านสตาร์ทอัพของสถาบันพันธมิตรเพื่อการวิจัยและเทคโนโลยีของ MIT ในสิงคโปร์ นับว่าโปรไฟล์ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
ก่อนหน้านี้เขาทำงานในสหรัฐและเกาหลีใต้ และร่วมงานกับบริษัทด้านการจัดการชื่อดังคือ Bain & Co. แต่ตัดสินใจออกจากงานในเวลาต่อมา ก่อนที่เขาจะก่อตั้งโชซอน เอ็กซ์เชนจ์ เขาแทบไม่มีความรู้เรื่องเกาหลีเหนือเลย จนกระทั่งเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐบาลที่เกาหลีใต้เมื่อปี 2005 จึงได้ทราบเรื่องการพลัดพรากของญาติพี่น้องใน 2 เกาหลีและเริ่มคิดคำนึงเรื่องเกาหลีตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนกระทั่งตัดสินใจลงทะเบียนขอเดินทางเข้าไปเที่ยวชมดินแดนโสมแดงให้เห็นกับตาในปี 2007
ไกด์สาวของเขาที่เปียงยางบอกกับเขาว่า เธอมาทำงานนี้เพื่อฝึกฝนภาษาอังกฤษและอยากจะเรียนด้านเศรษฐศาสตร์เพื่อทำธุรกิจของตัวเอง และเพื่อพิสูจน์ว่าผู้หญิงในประเทศนี้ก็มีความสามารถในการทำธุรกิจ (ซึ่งอันที่จริงแล้วในช่วงยุคอดอยาก ผู้หญิงจำนวนมากออกมาทำการค้าอย่างผิดกฎหมายในตลาดมืด ขณะที่ผู้ชายต้องรอรับความช่วยเหลือจากรัฐเท่านั้น ในเวลาต่อมาเมื่อรัฐบาลอะลุ่มอล่วยให้มีการค้าขายได้ ก็ยังเป็นผู้หญิงที่ยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในตลาด)
ก่อนที่ ซี จะสิ้นสุดการเดินทางในเกาหลีเหนือ ไกด์สาวถามกับเขาว่าจะเป็นไปได้ไหมหากเขากลับมาเยือนที่นี่อีกครั้งจะขนหนังสือด้านเศรษฐศาสตร์กลับมาด้วย คำขอร้องนี้ทำให้ ซี ต้องทบทวนทัศนคติของเขาใหม่ทั้งหมดเกี่ยวกับเกาหลีเหนือและความเป็นปัจเจกชนของคนที่นี่ เพราะแต่ไรมาคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า ชาวเกาหลีเหนือไม่สามารถเลือกเส้นทางชีวิตตัวเองได้ ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐเท่านั้น
ตอนที่ ซี ได้ยินไกด์สาวคนนี้บอกความฝันของเธอเขาถึงกับอุทานในใจว่า “ว้าว นี่มันบ้าไปแล้ว นี่ผมอยู่ในเกาหลีเหนือจริงๆ หรือเปล่า?” ที่เขาตกใจไม่ใช่เพราะความคิดของเธอเป็นเรื่องบ้าๆ แต่การแสดงออกของเธอต่างหากที่ดูเป็นธรรมชาติ ราวกับว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่จะทำธุรกิจของตัวเอง
แม้ว่า ซี จะไม่มีโอกาสพบไกด์สาวคนนั้นอีก แต่คำร้องขอของเธอจุดประกายให้เขาหันมาสนใจเรื่องธุรกิจในเกาหลีเหนืออย่างจริงจัง จนกระทั่งเขาก่อตั้ง “โชซอน เอ็กซ์เชนจ์” เพื่อเป็นศูนย์รวมอาสาสมัครเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านความรู้และการฝึกอบรมด้านธุรกิจในเกาหลีเหนือ
สิ่งที่หลายคนคาดคิดก็คือการทำงานในลักษณะนี้ของ โชซอน เอ็กซ์เชนจ์ จะต้องพบเจอกับตอดุ้นเบ้อเริ่มจากรัฐบาลแน่ๆ แต่ ซี เผยว่า ระบบของเกาหลีเหนือไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันหรือผูกขาดโดยส่วนกลางอย่างเหนียวแน่นเหมือนที่คนนอกคิด และที่สำคัญก็คือแม้การทำงานของเขาจะเสี่ยงกับการถูกประณามว่าร่วมมือกับรัฐบาลเผด็จการที่กดขี่ประชาชน แต่ ซี ให้เหตุผลว่าจะเป็นการดีกว่าหากเข้าไปมีส่วนร่วมกับการผลักดันให้เกาหลีเหนือเปิดกว้างมากขึ้น ทั้งในระดับปัจเจกชนและในระดับการลงทุน
ความเปลี่ยนแปลงคร่าวๆ ที่เกิดขึ้นก็คือเมื่อตอนที่ ซี เยือนเกาหลีเหนือครั้งแรกในปี 2007 การค้าขายในระดับล่างยังอยู่ในวงจำกัด แต่นานวันเข้าสินค้าและทัศนะด้านการค้าขายของคนที่นั่นเริ่มเปิดกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับกิจกรรมของโชซอน เอ็กซ์เชนจ์ที่เข้มข้นมากขึ้น จนประทั่งสามารถเปิดเวิร์คช็อปด้านสตาร์ทอัพ หรือแม้แต่จัดเวทีสัมมนาสตาร์ทอัพในกรุงเปียงยาง
“สตาร์ทอัพในเปียงยาง” อาจเป็นอะไรที่ย้อนแย้งอย่างมาก แต่มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้ว
สตาร์ทอัพในเกาหลีเหนือมีความเหมือนกับส่วนอื่นๆ ของโลก ตรงที่เป็นธุรกิจเกิดใหม่ใช้เทคโนโลยีเป็นแขนขาและมุ่งสร้างนวัตกรรม แต่ก็มีความแตกต่างจากที่อื่นๆ เช่นกัน ตรงที่ยังถูกปิดตายจากเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและเป็นการเริ่มต้นไปพร้อมๆ กับการเรียนรู้ระบบตลาดเสรีไปด้วย อย่างไรก็ตาม สตาร์ทอัพของที่นี่ไม่ได้จำกัดวงเฉพาะด้านไฮเทคเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสินค้าและบริการประเภทอื่นๆ ที่รัฐเปิดโอกาสให้ภายใต้เขตเศรษฐกิจพิเศษ 29 แห่ง
แม้จะขาดการเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต แต่โชซอน เอ็กซ์เชนจ์ก็มีส่วนช่วยอย่างมากในการนำบุคลากรชาวต่างประเทศไปฝึกและแลกเปลี่ยนทัศนะกับนักธุรกิจรุ่นใหม่ของเกาหลีเหนือ และนำดาวรุ่งของวงการสตาร์ทอัพจากเปียงยางไปเปิดหูเปิดตาที่สิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย บทบาทของโชซอน เอ็กซ์เชนจ์จึงคล้ายกับพี่เลี้ยงสตาร์ทอัพที่รัฐบาลหลายๆ ประเทศให้การสนับสนุน
ซี บอกว่า เกาหลีเหนือเป็นประเทศที่ถูกเข้าใจผิดมากที่สุดในโลก ไม่ใช่เพราะเราไม่รู้เรื่องราวของดินแดนนี้มากนัก แต่เพราะอคติและภาพลักษณ์ที่ฝังหัวต่างหากที่ทำให้เราคิดว่าเกาหลีเหนือเป็นประเทศที่แย่หมด
งานของ ซี และโชซอน เอ็กซ์เชนจ์ ไม่ใช่การเปลี่ยนภาพลักษณ์ของเกาหลีเหนือในสายตาชาวโลก แต่เป็นการเสริมพลังให้กับประชาชนในประเทศนี้ ให้รู้จักอิสรภาพ (แม้เพียงน้อยนิด) ของการเลือกที่จะทำธุรกิจตามความต้องการและค้าขายกันอย่างเสรี แม้จะเป็นเพียงก้าวเล็กๆ แต่ในอนาคตไม่แน่ว่าเราอาจเห็นสตาร์ทอัพในเกาหลีเหนือเป็นแรงขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงในดินแดนหลังม่านแห่งนี้ก็เป็นได้
ภารกิจของโชซอน เอ็กซ์เชนจ์
ด้วยความที่โชซอน เอ็กซ์เชนจ์เป็นองค์กรที่ไม่หวังผลกำไร อีกทั้งรัฐบาลเกาหลีเหนือเองก็ไม่มีทุนรอนสนับสนุนในด้านนี้ พวกเขาจึงต้องพึ่งพาเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธาเป็นหลักและเงินช่วยเหลือส่วนใหญ่มาจากรัฐบาลสิงคโปร์ รัฐบาลอังกฤษ รวมถึงมูลนิธิต่างๆ แต่การขอเงินบริจาคเพื่อทำงานในเกาหลีเหนือไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะภาพลักษณ์ของประเทศนี้บวกกับท่าทีแข็งกร้าวของผู้นำ ทำให้การเสนอขอทุนรอนเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่พวกเขาบอกว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ สิ่งสำคัญที่เป็นแรงผลักดันให้พวกเขา ก็คือการคิดในแง่บวกเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในดินแดนโสมแดง
ตอนนี้โชซอน เอ็กซ์เชนจ์ผลักดันความร่วมมือไปถึงสหรัฐแล้วและในเปียงยางยังริเริ่มเวิร์คช็อปสำหรับสตาร์ทอัพหลายโครงการ เช่น โครงการสนับสนุนผู้ประกอบการหญิง โครงการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการรุ่นเยาว์ โครงการแนะแนวทางความสำเร็จของประกอบการรุ่นเยาว์ การจัดแคมป์เก็บตัวให้กับสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ ฯลฯ
เมื่อก่อนคำว่า “ผู้ประกอบการ” (Entrepreneurs) ในเกาหลีเหนืออาจฟังดูพิลึกพิลั่น แต่วันนี้โชซอน เอ็กซ์เชนจ์ ทำให้คำๆ นี้กลายเป็นความจริงขึ้นมาในดินแดนที่ (เคย) เป็นศัตรูกับการค้าเสรี


