posttoday

หอบเงินไปลงทุนต่างประเทศ มีลุ้นกำไร แถมได้ 'สัญชาติ'

20 สิงหาคม 2559

เคยได้ยินเรื่องการลงทุนของ "มหาเศรษฐี" กันมาหลายอย่างแล้ว โดยเฉพาะการนำเงินออกไปลงทุนต่างประเทศ

โดย...สวลี ตันกุลรัตน์ [email protected]

เคยได้ยินเรื่องการลงทุนของ "มหาเศรษฐี" กันมาหลายอย่างแล้ว โดยเฉพาะการนำเงินออกไปลงทุนต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น พันธบัตร หุ้น หรือจะเป็นการลงทุนทำธุรกิจ รวมทั้งการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อเก็งกำไรและเพื่อพักอาศัยในต่างแดน

แต่การลงทุนทั้งหมดนั้นมักจะหวังผลกำไรเป็น "ตัวเงิน" แต่ในปัจจุบันการลงทุนตรงในบางประเทศ นอกจากจะคาดหวังกำไรจากการลงทุนแล้ว ยังได้สถานะ "พลเมือง" หรือได้สัญชาติของประเทศนั้น เป็นของแถมด้วย

แน่นอนว่า เมื่อได้เป็น "พลเมือง" ของประเทศนั้นแล้ว เราก็จะได้รับสิทธิและสวัสดิการด้านต่างๆ เหมือนเป็นคนประเทศนั้นด้วย เพียงแค่นี้ก็น่าจะเป็น "กำไร" มากกว่าตัวเงินเสียอีก

เช่น ถ้าเรามีฐานะเป็นพลเมืองของไซปรัส ที่เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป เราก็จะได้สิทธิเดินทางได้ทั่วยุโรปโดยไม่ต้องขอวีซ่าแต่ละประเทศอีก และยังได้รับสวัสดิการจากรัฐบาลในสหภาพยุโรปด้วย ซึ่งเหมาะมากๆ สำหรับการส่งลูกหลานไปเรียนในยุโรป และทำธุรกิจกับ 28 ประเทศในสหภาพยุโรป

หอบเงินไปลงทุนต่างประเทศ มีลุ้นกำไร แถมได้ 'สัญชาติ'

 

10 ประเทศน่าลงทุน

คริสเตียน รีฟ เขียนไว้ใน premieroffshore.com ว่า ในปี 2559 มีอยู่ 10 ประเทศที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนเพื่อให้ได้สัญชาติ ได้แก่

1.บัลแกเรีย

2.เซนต์ลูเซีย

3.มอลตา

4.ไซปรัส

5.ออสเตรีย

6.รัสเซีย

7.โดมินิกา

8.แอนติกาและบาร์บูดา

9.เซนต์คิตส์และเนวิส

10.เกรเนดา

แต่ละประเทศจะมีเงื่อนไขการลงทุนที่แตกต่างกัน ทั้งด้านจำนวนเงินลงทุนขั้นต่ำและระยะเวลาที่ห้ามถอนเงินออก

เช่น บัลแกเรีย ที่ รีฟ ยกให้เป็นอันดับ 1 กำหนดให้ลงทุนพันธบัตรรัฐบาล 5.12 แสนยูโร จะได้สิทธิพำนักถาวรหรือได้วีซ่าถาวร หลังจากนั้นอีก 1 ปี ลงทุนอีก 5.12 แสนยูโร (รวมแล้วประมาณ 40.96 ล้านบาท) จะได้รับสิทธิการเป็นพลเมือง โดยต้องถือไว้ 5 ปี

แต่ต้องบอกกันไว้ก่อนว่า ในปัจจุบันพันธบัตรรัฐบาลบัลแกเรียไม่ให้ดอกเบี้ย แปลว่า ลืมเรื่องผลตอบแทนที่เป็นตัวเงินไปได้เลย

ขณะที่ เซนต์ลูเซีย จะให้พาสปอร์ตแก่นักลงทุนที่ซื้อพันธบัตรรัฐบาล อายุ 5 ปี ด้วยเงินขั้นต่ำ 5.5 แสนเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 19.25 ล้านบาท) แต่ถ้าเป็นมอลตาจะต้องใช้เงินทั้งหมดประมาณ 1.85 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 64.75 ล้านบาท) จึงจะได้พาสปอร์ตมาครอบครอง

สีสันของ 'ไซปรัส'

แม้ว่าไซปรัสจะอยู่อันดับ 4 จากการจัดอันดับของ premieroffshore.com แต่สำหรับนักลงทุนไทย ไซปรัสอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะเป็นประเทศที่เปิดรับนักลงทุนไทยเต็มที่ โดยเปิด "มาตรการจูงใจ" ให้นักลงทุนไทย

เดเมทริโอส เอ. ธีโอฟีลัคโท เอกอัครราชทูตไซปรัสประจำประเทศไทย ให้ข้อมูลกับนักลงทุนและนักธุรกิจไทย ในงาน "สีสันของไซปรัส" เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2559 ว่า นักลงทุนต่างชาติสามารถสมัครเพื่อรับสิทธิพำนักถาวรและรับสัญชาติไซปรัสได้โดย

- สิทธิพำนักถาวร

เงื่อนไขในการสมัครเพื่อรับสิทธิพำนักถาวร คือ ต้องซื้อ หรือลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อพักอาศัยของไซปรัส มูลค่าขั้นต่ำ 3 แสนยูโร และต้องเปิดบัญชีเงินฝากจำนวนอย่างน้อย 3 แสนยูโร กับธนาคารในไซปรัส โดยห้ามถอนเป็นเวลา 3 ปี

นอกจากนี้ ต้องแสดงหลักฐานรายได้ประจำขั้นต่ำ 3 หมื่นยูโร/ปี และเพิ่มขึ้น 5,000 ยูโร/ลูก 1 คน โดยครอบครัวของนักลงทุนสามารถสมัครเพื่อรับสิทธิพำนักถาวรได้ด้วย ได้แก่ ภรรยา หรือสามี รวมถึงลูกที่อายุไม่เกิน 25 ปี ที่อยู่ในการดูแลด้านการเงินและอยู่ระหว่างศึกษา

- ขอรับสัญชาติ

การขอรับสัญชาติไซปรัสผ่านการลงทุนในรูปแบบต่างๆ เช่น ซื้อพันธบัตรรัฐบาล ซื้อกิจการสัญชาติไซปรัส ซื้ออสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็น บ้านพักอาศัย สำนักงาน ร้านค้า โรงแรม และอื่นๆ นอกจากนี้ ยังสามารถลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน หรือฝากเงินกับธนาคารไซปรัส ขั้นต่ำ 3 ปี ซึ่งแบ่งเป็น 3 กรณี

1.กรณีนักลงทุนรายบุคคล กำหนดให้ลงทุนขั้นต่ำ 5 ล้านยูโร และซื้ออสังหาริมทรัพย์สำหรับพักอาศัยถาวร มูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 แสนยูโร (รวมประมาณ 220 ล้านบาท)

2.กรณีนักลงทุนรายกลุ่ม หรือนักลงทุนรวมกัน 5 ราย ลงทุนในสินทรัพย์ของไซปรัส รายละ 2.5 ล้านยูโร และซื้ออสังหาริมทรัพย์สำหรับพักอาศัยถาวร รายละไม่ต่ำกว่า 5 แสนยูโร (ประมาณ 120 ล้านบาท/ราย)

3.กรณีนักลงทุนรายกลุ่ม หรือนักลงทุนรวมกัน 5 ราย ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ขั้นต่ำรายละ 2.5 ล้านยูโร โดยจะต้องซื้ออสังหาริมทรัพย์สำหรับพักอาศัยถาวรมากกว่า 5 แสนยูโร และที่เหลืออีก 2 ล้านยูโร สามารถขายได้หลังจากครบเวลา 3 ปี

นอกจากนี้ รัฐบาลไซปรัสยังมีมาตรการทางภาษีมาดึงดูดนักลงทุนอีกด้วย เช่น ยกเว้นภาษีจากรายได้และไม่เก็บภาษีหัก ณ ที่จ่าย จากเงินปันผล กำไรธุรกิจ และกำไรจากการขายหลักทรัพย์

ถ้ามั่นใจว่า "คุ้มค่าน่าลงทุน" ก็เดินหน้าลุยได้เลย แต่สำหรับนักลงทุนรายเล็กรายน้อยที่อยากลงทุนต่างประเทศ คงต้องเริ่มจากการลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) ที่ใช้เงินน้อยและมีหวังกำไรได้เหมือนกัน

ข่าวล่าสุด

ตำรวจไซเบอร์-ทหาร ถกเข้มชายแดนสระแก้ว เตรียมรับคนไทยจากกัมพูชากลับบ้าน!