ณพน เจนธรรมนุกูล เลือดใหม่เสริมทัพสัมมากร
โดย...สุกัญญา สินถิรศักดิ์
โดย...สุกัญญา สินถิรศักดิ์
บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในแวดวงนี้มายาวนานกว่า 46 ปีอย่าง “สัมมากร” เป็นหนึ่งในองค์กรที่เดินมาถึงจุดที่ต้องปรับตัวรับกับกลุ่มเป้าหมายรุ่นใหม่ๆ โดยแม้ว่าแบรนด์สัมมากรจะมีความคลาสสิก แต่ก็ต้องปรับในเชิงการสื่อสารให้ทันสมัยมากขึ้น ซึ่งหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นในปีที่ผ่านมา กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่ก็ส่งทีมงานคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมเสริมทัพ นำโดย ณพน เจนธรรมนุกูล บุตรชายของ สัจจา เจนธรรมนุกูล ประธานกรรมการ อาร์พีซีจี เข้ามานั่งในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปสายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท สัมมากร
ณพน กล่าวว่า ช่วงที่เรียนจบเริ่มต้นทำงานเกี่ยวกับการเงิน ธนาคาร เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งเวลานั้นยังไม่ได้คิดว่าจะมาทำงานเกี่ยวกับภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่เมื่อบริษัทของคุณพ่อขาดคน ก็ตัดสินใจว่าถึงเวลาที่จะมาเรียนรู้งานในส่วนนี้แล้ว ซึ่งก่อนหน้าที่จะเข้ามาทำงานในสัมมากรเต็มต้ว ได้มีโอกาสศึกษางานของสัมมากรผ่านการทำงานในระยองเพียวฯ มาบ้างแล้ว โดยส่วนใหญ่จะเน้นดูเรื่องพัฒนาธุรกิจ โอกาสธุรกิจใหม่ ซื้อที่ดิน ศึกษาความเป็นไปได้ ดูกลยุทธ์การตลาด
สำหรับการเริ่มต้นเรียนรู้งานในภาคอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 2 ปีแรก สิ่งที่ยากสุดคือการวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าเป้าหมายให้ออก ถ้าเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ วิธีการเลือกซื้อที่ดินก็จะถูกต้องตามไปด้วย โดยเมื่อก่อนตอนที่ยังเป็นคนนอก จะคุ้นเคยแต่แบรนด์ดังๆ และมองว่าธุรกิจอสังหาฯ เป็นตลาดสำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่เท่านั้น แต่พอเข้ามาเรียนรู้แล้ว ก็พบว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์เป็นเค้กก้อนใหญ่ที่แบ่งย่อยเป็นรายเซ็กเมนต์ และยังมีช่องว่างให้ผู้ประกอบการรายใหม่ๆ หรือรายกลาง รายเล็กเจาะเข้าไป
ขณะที่ธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพอร์ตที่สัมมากรมีนั้น ณพน กล่าวว่า คอมมูนิตี้มอลล์ที่อยู่ท่ามกลางแหล่งชุมชน หากเลือกร้านค้าและบริการที่สอดคล้องกับความต้องการของคนในพื้นที่นั้นๆ จะได้รับการตอบรับที่ดีมาก ซึ่งทั้ง 3 โครงการคอมมูนิตี้มอลล์ของสัมมากร ประกอบด้วย เพียวเพลส รามคำแหง 110 เพียวเพลส รังสิตคลอง 2 และเพียวเพลส ราชพฤกษ์ ถือว่าไปได้ดี
อย่างไรก็ตาม อาจต้องปรับพื้นที่เช่าบางส่วนให้สามารถเพิ่มผู้เช่ารายใหม่ๆ เข้าไปได้ โดยเฉพาะกลุ่มร้านอาหารที่เดิมมีไม่มากนัก ขณะที่มีความต้องการร้านอาหารใหม่ๆ มากขึ้น โดยปัจจุบันกลุ่มร้านอาหารมีสัดส่วนเพียง 10% ของพื้นที่ทั้งหมด จึงมองเป้าหมายที่จะขยายพื้นที่เช่าให้กับร้านอาหารเชนต่างๆ เพิ่มเป็น 30% ซึ่งอาจจะนำพื้นที่บางส่วนของโซนร้านค้าทั่วไปมาปรับเปลี่ยน ซึ่งคอมมูนิตี้มอลล์แต่ละแห่งมีความต้องการแตกต่างกัน จึงต้องเลือกร้านค้าให้ตรงกับความต้องการในแต่ละสาขา
นอกจากนี้ ยังมองเรื่องการรีแบรนด์ให้กับธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ของสัมมากร โดยจะเปลี่ยนชื่อจากเพียวเพลสเป็น “สัมมากร เพลส” เพื่อตอกย้ำแบรนด์สัมมากรให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เข้าสู่การสื่อสารในวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะการเจาะเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพื่อล้อไปกับแบรนด์ที่อยู่อาศัย ให้ภาพของคอมมูนิตี้มอลล์สัมมากร เพลส มีส่วนสนับสนุนแบรนด์โครงการที่อยู่อาศัยใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น รวมถึงต้องปรับวิธีการสื่อสารของแบรนด์ที่จะต้องทำควบคู่กันกับทั้งในส่วนของคอมมูนิตี้มอลล์และโครงการที่อยู่อาศัย
“แบรนด์สัมมากรมีความแข็งแกร่งในกลุ่มผู้ใหญ่มาก เพราะเป็นแบรนด์ที่มีมายาวนาน แต่ในกลุ่มคนรุ่นใหม่อาจจะยังไม่ชัดเจน ซึ่งในอนาคตกลุ่มคนรุ่นใหม่ก็จะเป็นฐานลูกค้าสำคัญของสัมมากร ทั้งคอมมูนิตี้มอลล์และที่อยู่อาศัย”
ด้านการสื่อสารการตลาดและการสร้างแบรนด์ก็ใช้สื่อออนไลน์เข้ามาเสริมทัพ เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ ส่วนกิจกรรมพิเศษต่างๆ ที่จัดภายในคอมมูนิตี้มอลล์แต่ละแห่ง ก็ต้องประชาสัมพันธ์มากขึ้น เพื่อดึงดูดให้คนเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น จากในอดีตแทบไม่มีการประชาสัมพันธ์พิเศษที่จัดขึ้นเลย ผู้ที่เข้ามาในคอมมูนิตี้มอลล์เท่านั้นจึงจะรู้ว่ามีการจัดกิจกรรมพิเศษ
พร้อมกันนี้จะอัดกิจกรรมพิเศษเพิ่มขึ้นเป็นทุกเดือน เช่น ตลาดนัด โซนขายของตามคอนเซ็ปต์ มินิคอนเสิร์ต ฯลฯ จากเดิมกิจกรรมพิเศษจะมีเฉพาะวันสำคัญเท่านั้น เช่น วันสงกรานต์ วันลอยกระทง เป็นต้น ซึ่งงบการตลาดก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน รองรับการแข่งขันในธุรกิจค้าปลีกย่านชานเมืองที่เพิ่มขึ้น จากการที่ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่หันมาเปิดศูนย์การค้าชานเมืองในหลายพื้นที่
เป้าหมายในอนาคตหลังการยกเครื่องครั้งใหญ่ให้กับธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ของสัมมากร อยากให้ชุมชนรอบคอมมูนิตี้มอลล์ มองว่าสัมมากร เพลส เป็นส่วนกลางของผู้อยู่อาศัยทุกคนที่สามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ได้ เป็นที่ที่ตอบโจทย์ความต้องการพื้นฐาน และยังเริ่มเปิดกว้างการลงทุนสาขาใหม่ๆ อีกด้วย เพื่อสร้างการเติบโตให้กับองค์กร โดยจะเน้นทำเลชานเมืองที่มีหมู่บ้านจำนวนมาก แต่ยังไม่มีห้างใหญ่ เพราะต้องยอมรับว่าถ้าคอมมูนิตี้มอลล์เกิดในพื้นที่ใกล้กับห้างใหญ่มากๆ ยากจะสู้กับห้างใหญ่ได้
สำหรับภาพรวมการจับจ่ายใช้สอย จากการพูดคุยกับผู้เช่าหลายรายในครึ่งปีแรก กลุ่มร้านอาหารและกลุ่มร้านขายของยอดขายชะลอตัว ซึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว ส่วนผู้เช่ากลุ่มธุรกิจการเงินยังมียอดผู้เข้าใช้บริการต่อเนื่อง ขณะที่ในครึ่งปีหลัง ผู้เช่าแต่ละรายก็คาดหวังว่าจะปรับตัวดีขึ้น และแผนอัดกิจกรรมและประชาสัมพันธ์เพิ่มขึ้นของสัมมากรก็จะดึงคนให้เข้ามาใช้บริการได้มากขึ้น
ด้านภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัย มองว่าเวลานี้เลี่ยงไม่ได้กับการแข่งขันในทุกทำเล โดยปัจจุบันสัมมากรมีโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบที่อยู่ระหว่างขาย 6 โครงการ และกำลังจะเปิดใหม่อีก 3 โครงการ รวมเป็น 9 โครงการ ในย่านราชพฤกษ์ รามคำแหง ซึ่งในทุกทำเลที่สัมมากรมีโครงการขาย ก็เจอคู่แข่งทั้งระดับท้องถิ่นย่านนั้นๆ และผู้ประกอบการรายใหญ่ ทำให้ต้องปรับตัวต่อเนื่อง ติดตามคู่แข่ง พัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพ และตอบโจทย์ความต้องการ
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าตลาดครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก โดยปัจจัยบวกสำคัญ คือ หนี้สินครัวเรือนต่อจีดีพีเริ่มลดลง บ่งบอกว่าคนสามารถซื้อของได้มากขึ้น รัฐบาลเริ่มมีการประมูลโครงการรถไฟฟ้าเส้นทางใหม่ๆ ซึ่งน่าจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นได้ ส่วนในเชิงการแข่งขัน ผู้ประกอบการรายใหญ่เริ่มจับหลายตลาด เข้ามากินส่วนแบ่งในตลาดของรายกลางและรายเล็กมากขึ้น ซึ่งรายกลางและรายเล็กเองต้องหาจุดแตกต่างเพื่อให้ที่ยืนของตัวเองยังแข็งแกร่ง เช่น การบริหารส่วนกลางทำได้ใกล้ชิดกว่ารายใหญ่ แก้ปัญหาให้ลูกบ้านได้ทันที ต้นทุนการบริหารจัดการต่ำ หาที่ดินได้ในราคาถูกกว่ารายใหญ่
ในเชิงการบริหารองค์กร ปัจจุบันในหนึ่งองค์กรมีคนหลากหลายเจเนอเรชั่น คนแต่ละเจนก็มีมุมมองแตกต่างกัน การบริหารอารมณ์ตัวเองให้ได้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ซึ่งในฐานะผู้บริหารต้องสร้างองค์กรที่มีความเป็นมืออาชีพ เพื่อให้ทุกคนทำงานร่วมกันได้ โดยไม่แบ่งแยกกลุ่มอายุ
สิ่งสำคัญคือ การทำงานเป็นทีมเพื่อพาองค์กรเดินไปสู่เป้าหมาย ซึ่งเป้าหมายใหญ่ของสัมมากร นั่นคือ การเป็นแบรนด์ที่อยู่อาศัยอันดับต้นๆ ที่คนอยากมีบ้านนึกถึง และการมีรายได้แตะ 4,000 ล้านบาท ภายในปี 2561


