โลกเปลี่ยนเรา... เราปรับตัวไม่ทันโลก
โดย...พิเชษฐ์ ชูรักษ์ บรรณาธิการการเมือง
โดย...พิเชษฐ์ ชูรักษ์ บรรณาธิการการเมือง
คลื่นลูกที่สามต่อเนื่องเข้าสู่คลื่นลูกที่สี่ ซึ่งมีอินเทอร์เน็ตและระบบไอทีเป็นตัวขับเคลื่อน ส่งผลให้โลกเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
อุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของโลกที่ปรับตัวไม่ทันความเปลี่ยนแปลงต้องถึงกับกาลอวสาน ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นอย่างดาษดื่น นั่นเพราะระบบไอทีได้กลายเป็นปัจจัยการกำหนดต้นทุน ตั้งแต่โครงสร้างการผลิต การใช้แรงงาน และระบบโลจิสติกส์
ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีเวลามากพอในการทบทวนกระบวนทัศน์ในการพัฒนาประเทศในแต่ละภาคส่วน โดยเฉพาะการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติของบ้านเรา เพื่อรับมือความไม่เหมือนเดิมของสังคมโลกอีกต่อไป ซึ่งได้เปลี่ยนทั้งภูมิศาสตร์การสื่อสารและภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ
แต่ก็นั่นแหละ ไม่ง่ายนักสำหรับรัฐระบอบเก่าในโลกสมัย ที่สั่งสม “วัฒนธรรมการยัดเยียด” มาอย่างยาวนาน ความทันสมัยที่เริ่มเข้ามาแทนที่บ้าง ก็ไม่ได้เกิดจากความต้องการเปลี่ยนจากภายใน หากแต่ถูกบังคับให้เปลี่ยน เมื่อถูกแรงกดดันและการบีบคั้นจากโลกภายนอก เช่น ระบบการเงิน ระบบขนส่ง กฎระเบียบบางอย่าง ฯลฯ และอาจบางทีก็เป็นเพียงการปรับเปลี่ยนให้ดูโก้หรูให้พอจะพูดกับคนอื่นๆ เขาได้บ้างเท่านั้นเอง
แต่ท่ามกลางพายุกระหน่ำระลอกแล้วระลอกเล่า เราไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเรามีจุดแข็งอะไร และควรปรับตัวอย่างไรเพื่อเสริมจุดแข็งและลดผลกระทบจากแรงสั่นคลอนของภัยแต่ละด้าน
ทั้งหมดทั้งมวลอาจพอสรุปได้ว่า “ระบบการศึกษา” ของรัฐเป็นปัจจัยเสริมที่สำคัญต่อพลวัตทั้งหลายให้เท่าทันและมีความพอดี นั่นหมายถึงจะทำอย่างไรให้ “ศาสตร์” แต่ละด้านที่เรามีได้รับการ
ส่งเสริมและมีความเข้มแข็งมากพอจะเป็นภูมิคุ้มกันสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ
พูดไปก็เหมือนบ่น ในขณะที่โลกเปลี่ยนไปอย่างที่บอก กระทรวงการศึกษาของเรากลับหาทางจะจัดการกับสาขาการเรียนการสอนที่มีมากจนเกินไป โดยเฉพาะสาขาสังคมศาสตร์ที่บัณฑิตจบใหม่ล้นตลาด แต่ไม่เป็นที่ต้องการของภาคธุรกิจ
ในทางเศรษฐศาสตร์ตามหลักดีมานด์ซัพพลายต้องแก้โจทย์ระหว่างปริมาณบัณฑิตกับความต้องการแรงงานเพื่อให้ลงตัว และไม่เกิดภาวะตกงาน แต่สังคมอุดมปัญญาในสถาบันการศึกษากลับเร่งผลิตบัณฑิตกันอย่างเมามัน แต่ขาดคุณภาพ
และยิ่งกระทรวงศึกษาธิการตั้งโจทย์จะให้ผู้มีอำนาจออกคำสั่งลดปริมาณสาขาสังคมศาสตร์ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้สังคมนี้เพิ่มความสับสน เพราะเราคิดได้แค่เพียงว่าในเมื่อมันมีมากเกินก็กำจัดทิ้งเสียด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง
ประเด็นอยู่ที่ว่า รัฐและสังคมส่วนใหญ่ของประเทศนี้ยังปักใจเชื่อในนิยาม “ความมั่นคง” จากการทำงานในรูปแบบเดิม นั่นก็คือการมีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ได้ปรับเงินเดือนขึ้นทุกปี มีโบนัสและสวัสดิการที่ดี กระทั่งจะได้รับการโปรโมทในตำแหน่งใหญ่โตขึ้น (สักวัน)
นี่คือจินตนาการการยกฐานะเป็นชนชั้นกลางของสังคมไทย และเป็นเป้าหมายของรัฐที่จะนำประเทศก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางในอีก 20 ปีข้างหน้า แต่ขาดการสร้างจินตนาการให้นิสิตนักศึกษาจบแล้วสามารถทำมาหาเลี้ยงตัวเองได้ เป็นเจ้าของกิจการได้
พูดก็พูด ระบบการศึกษาไทยเป็นอุปสรรคขัดขวางให้พลเมือง “สตาร์ทอัพ” นวัตกรรม ซึ่งรัฐบาลกำลังส่งเสริมผู้ประกอบการสตาร์ทอัพอยู่ในเวลานี้
ในขณะที่รัฐตั้งเป้าลดสาขาที่ไม่จำเป็นลง หารู้ไม่ว่าระบบการจ้างงานในแบบเดิมได้ถูกแทนที่ด้วยระบบ “ซับคอนแทรกต์” หรือการจ้างงานแบบชั่วคราว ที่ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องรายได้ที่พอเหมาะหรือแม้แต่การดูแลสวัสดิการเสียด้วยซ้ำ
หากย้อนหลังกลับไปเมื่อ 20 กว่าปีก่อน กระทรวงศึกษาธิการในหลายรัฐบาลต่อเนื่องกันมา พยายามผลักดันมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ หรือเรียกอย่างสวยหรูว่า “มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ” โดยอ้างถึงความเป็นอิสระในการบริหารจัดการ และเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ
และแล้วมหาวิทยาลัยที่ออกนอกระบบไปประมาณ 20 แห่ง รวมทั้งที่ยังไม่ได้ออกอีกจำนวนมาก ก็ได้ขยายสาขาด้านสังคมศาสตร์กันจำนวนมาก และเร่งเครื่องผลิตบัณฑิตกันข้ามวันข้ามคืน...กระทั่งงานรับปริญญาบัตรในแต่ละปี ไม่ว่ามหาวิทยาลัยแห่งไหนจัดขึ้น สถานที่แห่งนั้นจะจอแจไปด้วยผู้เข้าร่วมแสดงความยินดีอย่างล้นหลาม
นโยบายจะลดการผลิตคนลงในปี พ.ศ.นี้ คงไม่เกี่ยวอะไรกับความเป็นอิสระและความเป็นเลิศทางวิชาการของมหาวิทยาลัย แต่เป็นเพียงเพราะภาคอุตสาหกรรมบอกว่าต้องการแรงงานมีฝีมือ
คงเป็นเรื่องยากหากจะหาคนรับผิดชอบการออกนโยบายที่ล้มเหลว แต่มันจะผิดเพี้ยนกันไปใหญ่หากผู้ใหญ่โยนความผิดให้เด็กว่าสาเหตุการตกงาน เพราะการเลือกเรียนสาขาที่ไม่ตรงความต้องการของตลาด ทั้งๆ ที่เด็กมัธยมปลายเหล่านี้เลือกเรียนสาขาตามที่สถาบันการศึกษาทั้งหลายออกแคมเปญเชิญชวน
หมุดหมายปลายทางการผ่านรั้วมหาวิทยาลัย และเข้าสู่พิธีรับปริญญาบัตร เพื่อถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกจะมีคุณูปการกว่ามาก หากรัฐได้ปรับวิธีคิดเสียใหม่ให้ทุกศาสตร์ทุกสาขาสามารถผลิตคนมาทำหน้าที่รับใช้สังคมได้ ทุกคนไม่จำเป็นต้องเป็นหมอกันทั้งประเทศ ไม่ต้องเป็นทหารกันทั้งเมือง ศาสตร์ด้านสังคม และศิลปศาสตร์อยู่คู่กับโลกและได้จารึกการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญมากนักต่อนัก
หากพูดกันให้ถึงที่สุด ศาสตร์ด้านสังคมช่วยสร้างสีสันและสร้างความเป็นมนุษย์ ซึ่งควรให้ความสำคัญมากกว่าศาสตร์ที่มุ่งแต่แสวงหากำไรสูงสุด โดยละเลยและไม่เห็นคุณค่าของการมีชีวิต


