posttoday

ก้าวสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม

17 กรกฎาคม 2559

สังคมไทยขณะนี้กำลังตื่นตัวและเตรียมพร้อมจะก้าวเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 หรือที่เรียกว่า “อินดัสทรี 4.0”

โดย...วิรวินท์ ศรีโหมด

สังคมไทยขณะนี้กำลังตื่นตัวและเตรียมพร้อมจะก้าวเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 หรือที่เรียกว่า “อินดัสทรี 4.0” ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากเดิมที่เน้นใช้กำลังคน เปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์มากขึ้นในทุกอุตสาหกรรมตั้งแต่ขนาดกลางไปถึงขนาดใหญ่ แต่ทว่ายังมีคนอีกจำนวนมากที่ยังไม่ทราบว่า เมื่อเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมแล้ว สังคมไทยจะเป็นอย่างไร หรือต้องเดินไปทิศทางใด

ประมวล สุธีจารุวัฒน อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญทางด้านระบบราง และเป็นบุคคลหนึ่งในประเทศไทยที่เฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมมาตั้งแต่ต้น เริ่มอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลง ว่า จุดเริ่มต้นอินดัสทรี 4.0 เกิดจากการพัฒนาทางเทคโนโลยีตั้งแต่อดีต ที่เพิ่งมีความพร้อมในยุคปัจจุบัน และจะถูกพัฒนาสูงขึ้นไปในอนาคต

ทั้งนี้ เทคโนโลยีถูกพัฒนาขึ้นและเข้ามาอยู่ในพฤติกรรมประจำวันของทุกคนโดยไม่รู้ตัว เช่น การแจ้งเตือนบุคคลที่เราไม่รู้จักในเฟซบุ๊ก แต่รู้จักกับเพื่อน และมีการแจ้งเตือน นั่นคือส่วนหนึ่งของผลทางเทคโนโลยี แต่นิยามการปฏิวัติยุคอุตสาหกรรม หรือ อินดัสทรี 4.0 เกิดขึ้นในยุโรป ค.ศ. 2012 และเริ่มมีการพูดถึงในไทยในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมให้มีคุณภาพโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาแรงงานจำนวนมาก โดยใช้แรงงานหุ่นยนต์เพื่อที่จะไม่ต้องย้ายฐานการผลิตออกไปประเทศอื่น แต่แรงงานคนก็ยังจำเป็น แต่ต้องมีทักษะที่สูงกว่างานพื้นฐานทั่วไป ฉะนั้นสิ่งที่กำลังเกิดในไทยนี้มองว่ายังเป็นการรับลูกแบบกระจัดกระจาย

“หลักการพื้นฐานของอินดัสทรี 4.0 ไม่ใช่การตัดคนให้หายออกไปจากระบบ แต่เป็นการที่จะให้คนที่ทำงานอยู่มีทักษะสูงขึ้น ส่วนงานพื้นฐานก็จะใช้หุ่นยนต์เทคโนโลยีทำแทน ดังนั้นคนที่จะทำงานสภาวะเงื่อนไขลักษณะนี้ ต้องมีทักษะสูงขึ้นเพื่อที่จะทำงานร่วมกับหุ่นยนต์ได้” ประมวล ชี้ให้เห็นภาพ

ประมวล มองว่า กระแสอินดัสทรี 4.0 จะเป็นแบบเดียวกับที่ไทยเคยแตกตื่นกับยุคการพัฒนา ISO ซึ่งถ้ามองในรูปแบบวิธีคิดนั้นดี แต่การที่ไทยจะนำมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต ต้องคิดว่าสินค้าที่จะผลิตต้องมีคุณภาพทางเทคโนโลยีสูง ออกมาจะขายให้กับใคร เพราะอินดัสทรี 4.0 จะมีประโยชน์มากกับประเทศที่คุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นสำคัญ มีค่าแรงสูง การศึกษาประชาชนดี และถ้าทั้งหมดโดยรวมดี ค่าแรงงานก็ต้องสูงด้วย ฉะนั้นผลผลิตที่ออกมาเมื่อมีคุณภาพมาก ราคาก็จะสูงด้วย แต่ถึงอย่างไรการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในไทยก็จะยังเปลี่ยนแปลงในเร็วๆ แต่จะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ฉะนั้นเรื่องนี้ควรต้องเตรียมรับมือไว้

อาจารย์วิศวะ จุฬาฯ ยังชี้ถึงปัญหาที่จะเกิดกับอินดัสทรี 4.0 ในไทยว่า สิ่งที่น่าห่วงคือ ไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่จะมีเพิ่มขึ้นมากในอนาคต แต่คนวัยทำงานจะมีจำนวนลดลง ฉะนั้นเมื่ออยู่ในสภาพที่แรงงานไม่พอกับอุตสาหกรรมจะทำด้วยเงื่อนไขแบบเดิมไม่ได้แล้ว ประกอบกับคนจะออกไปทำงานต่างประเทศ หรือออกไปทำงานอิสระมากขึ้น และทักษะทางภาษาบุคลากรไทยอาจสู้คนในประเทศแถบอาเซียนไม่ได้ ฉะนั้นเรื่องเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายว่าอาจทำให้อินดัสทรี 4.0 มาเร็วกว่าที่คิด แต่ด้านทรัพยากรของไทยมาตรฐานอาจต่ำกว่าเทคโนโลยีที่จะเข้ามา ฉะนั้นการปักมุดอุตสาหกรรมลงไปในประเทศกำลังพัฒนาจะเป็นกลไกที่ทำให้เริ่มมีการพัฒนาพื้นฐานการศึกษาและการศึกษาสูงขึ้น

ก้าวสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม

 

ขณะนี้ไทยพร้อมเข้าสู่อินดัสทรี 4.0 หรือไม่ ประมวล มองว่า ระดับยุทธศาสตร์ชาติยังไม่พร้อม แต่ละดับบุคลทั่วไปถ้าบุคคลใดเข้าถึงได้ดี รู้ทิศทางว่าปัญหาคืออะไร ก็จะสามารถพัฒนาตัวเองให้เข้ากับอินดัสทรี 4.0 ได้ ส่วนเรื่องยุทธศาสตร์ชาติในการพัฒนา ไม่ควรให้เรื่องนี้เป็นเรื่องเฉพาะกระทรวงอุตสาหกรรมที่ต้องดูแลการพัฒนาเพียงผู้เดียว แต่ทุกกระทรวงจะต้องผนึกกำลังร่วมมือกันทำ เช่น กระทรวงพาณิชย์ต้องติดต่อด้านการลงทุนซื้อขาย กระทรวงอุตสาหกรรมดูแลการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการรวมถึงกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต้องพัฒนาการเรียนการสอน และกระทรวงแรงงงานต้องพัฒนาทักษะฝีมือ เป็นต้น 

“ขณะนี้นโยบายรัฐบาลที่จะทำบางครั้งยังสวนทางกับสิ่งที่จะทำ คือ ระหว่างที่ต้องการพัฒนาอะไรบางอย่าง ฉะนั้นก็ไม่ควรซื้อสินค้าจากต่างประเทศมาใช้อย่างเดียว เช่น รถไฟ แต่ควรสร้างโจทย์ขึ้นมาเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้ เช่น ถ้าประเทศไทยต้องการทำเรื่องระบบโครงสร้างพื้นฐานทางราง ซึ่งยังมีปริมาณการใช้ที่มาก ก็ไม่ควรใช้ซื้อทรัพยากรจากต่างประเทศทั้งหมด แต่ควรซื้อเทคโนโลยี และนำองค์ความรู้มาแยกแยะ ทำโรงประกอบเพื่อให้เกิดการผลิตชิ้นส่วนในประเทศไทย และให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมกัน ศึกษา วิจัย พัฒนา สร้างเทคโนโลยีที่ต้องการให้ใช้เองในประเทศไทย นี่จึงจะคือการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง” ประมวล กล่าว

ประมวล แนะว่า เรื่องนี้ควรใช้จำนวนความต้องการเป็นตัวตั้ง เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมโดยทำให้เป็นแผนยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ไม่ใช่คิดแต่เป็นหลักปฏิบัติ แต่การดำเนินการยังคงนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ฉะนั้นคิดว่าถ้ารัฐต้องการสร้างความยั่งยืน ขณะนี้จึงเป็นโอกาสในการพัฒนาการวิจัยเทคโนโลยีให้เกิดขึ้นในประเทศ ปัจจุบันประเทศอย่างมาเลเซียได้วางแผนทำมานานแล้ว และภายในปีนี้มาเลเซียจะมีโรงงานผลิตรถไฟเกิดขึ้นในประเทศ 2 โรงงาน ถึงแม้จะเป็นโรงงานจากต่างชาติ แต่เมื่อเทคโนโลยีเกิดขึ้นในประเทศ การพัฒนาต่อยอดในอนาคตก็ไม่ใช่เรื่องยาก

อาจารย์คณะวิศวะ จุฬาฯ มองว่า การพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 ทิศทางที่รัฐบาลกำลังทำไม่มีผิด แต่การดำเนินการยังไม่ชัดเจนว่าสิ่งที่จะทำนั้น รูปธรรมปลายทางจะเป็นอย่างไร เพราะปัจจัยในการพัฒนาอุตสาหกรรมต้องทำทั้งระบบ แต่การดำเนินงานขณะนี้แต่ละกระทรวงยังดำเนินนโยบายที่ไม่มีการเชื่อมโยงกัน ดังนั้นตนคิดว่าผู้ที่จะบัญชาการบูรณาการต่อยอดเพื่อให้เกิดการพัฒนาได้ดีควรเป็นนายกรัฐมนตรีที่จะมาเป็นผู้กำหนดทิศทางดูแลด้วยตนเอง หรือถ้าจะมอบหมายรองนายกรัฐมนตรีมาดำเนินการ ผู้นั้นจะต้องเข้าใจแผนภาพรวมเพื่อที่จะกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนให้ไปในทิศทางเดียวกันทั้งระบบ

ประมวล กล่าวสรุปทิ้งท้ายว่า การจะดำเนินงานโครงสร้างพื้นฐานให้ประสบความสำเร็จมี 3 เรื่องหลัก คือ 1.กำหนดยุทธศาสตร์ให้ชัดเจนว่าจะทำอะไร เพื่ออะไร 2.เสนอให้มีการจัดทัพปฏิรูปองค์กรที่เกี่ยวข้องใหม่ คือมีผู้ควบคุมดูแลในการวางแผน และให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าไปร่วมกันพัฒนา แก้ปัญหา ซึ่งโอกาสตอนนี้ที่รัฐบาลนี้มีอำนาจเต็มที่ควรปฏิรูปให้สำเร็จ และ 3.เสนอการทำระบบอุตสาหกรรมพื้นฐานให้เกิดขึ้นในไทยทั้งระบบเพื่อให้เกิดความยั่งยืน

แต่สุดท้ายหลักคิดในการดำเนินการต้องอย่างลืมนำความสำคัญของผู้บริโภคส่วนทั้งหมดมาเป็นตัวจุดเริ่มต้นในการพัฒนาเพื่อที่จะทำให้ประโยชน์เกิดกับประชาชนอย่างแท้จริง เพราะหลักการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อต้องการทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น

ข่าวล่าสุด

ไทยเจ้าภาพประชุมโลก ผนึกกำลัง 60 ชาติปราบสแกมเมอร์ข้ามชาติ