"ปลาซิวแก้ว" ของดีท่าปลา
ชาวบ้านท่าเรือ หมู่ที่ 9 ต.ท่าปลา อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ ตั้งอยู่ใกล้กับอ่างเก็บน้ำของเขื่อนสิริกิติ์มีอาชีพหลัก คือ การประมง ทางกลุ่มจึงคิดหาวิธีการแปรรูปจากปลาที่หาได้มาจำหน่าย จึงมีการรวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มปลาซิวแก้วกลายเป็นค้าโอทอประดับ 5 ดาวสร้างรายให้กับชาวบ้านที่นี่
ชาวบ้านท่าเรือ หมู่ที่ 9 ต.ท่าปลา อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ ตั้งอยู่ใกล้กับอ่างเก็บน้ำของเขื่อนสิริกิติ์มีอาชีพหลัก คือ การประมง ทางกลุ่มจึงคิดหาวิธีการแปรรูปจากปลาที่หาได้มาจำหน่าย จึงมีการรวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มปลาซิวแก้วกลายเป็นค้าโอทอประดับ 5 ดาวสร้างรายให้กับชาวบ้านที่นี่
บุญนำ เกิดแก้ว
ประวิทย์ มีอินทร์ถา ประธานกลุ่มแปรรูปปลาซิวแก้ว บ้านท่าเรือ หมู่ 9 ต.ท่าปลา เล่าความเป็นมาของการร่วมกลุ่มสร้างแบรนด์ปลาซิวแก้วมีชื่อเสียงระดับประเทศว่า อำเภอท่าปลาดั้งเดิมเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก แต่หลังจากชาวบ้านยอมเสียสละพื้นที่ให้กับกรมชลประทาน เพื่อการสร้างเขื่อนสิริกิติ์ เมื่อ 41 ปีก่อน พร้อมอพยพชาวบ้านมาอยู่ในพื้นที่ปัจจุบันที่เป็นเนินเขาสลับกัน เมื่อถึงฤดูแล้งจะแล้งหนักกว่าพื้นที่อำเภออื่นของอุตรดิตถ์ แต่หลังจากสร้างเขื่อน ผลประโยชน์ที่ตามมานอจากจะมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามมากแล้ว ที่กำลังนำเงินเข้าอำเภอคือ "ปลาซิวแก้ว"
"ปลาซิวแก้ว" เป็นปลาที่มีขนาดเล็กมาก ลำตัวจะโตกว่าไส้ปากกาเล็กน้อย ยาวประมาณ 1-2 ซ.ม. มีเกล็ดบ้างเล็กน้อย หากดูผิวเผิน จะมีลักษณะเหมือนกับปลาซิวทั่วไปที่มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่ที่ยิ่งเป็นที่โชคดีของชาวท่าปลามากคือในประเทศไทยมี 2 จังหวัดเท่านั้น คือ จ.อุบลราชธานี และ จ.อุตรดิตถ์
ประวิทย์ บอกว่า ค้นพบปลาซิวแก้วโดยบังเอิญ หลังจากชาวบ้านท่าเรือที่ไปทำประมงในอ่างเก็บน้ำเขื่อนสิริกิติ์กลางคืน ซ่อมเรือหาปลาซ่อมอวนข่ายดักปลา มีปลาชนิดหนึ่งตัวเล็กใสจำนวนมหาศาลมาเล่นแสงตะเกียง จึงใช้สวิงช้อนขึ้นมานำมาปรุงเป็นอาหารพบว่ามีรสชาติอร่อยมากไม่แพ้ปลาชนิดอื่นที่ตัวใหญ่
เมื่อค้นพบตรงนี้แล้วก็คิดค้นวิธีการจับขึ้นมาครั้งละจำนวนมาก ๆ และวิธีที่ได้ผลคือการใช้ยอขนาดใหญ่ 8 คูณ 10 เมตร ใช้ตะเกียงเจ้าพายุวางให้ก้นตะเกียงแช่น้ำหรือห่างจากพื้นที่ 5 นิ้ว เป็นตัวล่อปลาให้เข้ายอครั้งหนึ่งจะได้ปลาซิวแก้ว 100 กก.ถึง 1 ตัน แต่ช่วงนั้นยังไม่มีการนำมาแปรรูปเป็นอย่างอื่นนอกจากนำมาขายเป็นปลาสดบางคนก็นำมาแกงส้ม หอหมก ช่วงแรกขายได้กิโลกรัมละ 4 บาทต่อมาเพิ่มเป็น 40 บาทตอนนั้นถือว่าดีมากแล้ว แถมปลาซิวแก้วไม่พอขายด้วยซ้ำไป
จากนั้นปี 2542 ก็มีการร่วมกลุ่มเป็นกลุ่มแปรรูปปลาซิวแก้วขึ้นมีสมาชิก 10 คน โดยการลงทุนซื้อปลาจากชาวบ้านที่ทำประมงปลาซิวแก้ว จากนั้นก็นำมาตากแดด 1 แดดก็นำมาบรรจุถุงอย่างง่ายโดยใช้ยางวงมัดปากถุงขายให้กับนักท่องเที่ยวและชาวบ้านทั่วไปกิโลกรัมละ 40 บาท เฉลี่ยสมาชิกมีรายได้วันละ 400-500 บาท
หลังประสบความสำเร็จระยะหนึ่งก็เริ่มมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น 67 ราย พร้อมพัฒนารูปแบบจากปลาสดมาเป็นปลาตากแดด ปลาร้า และปลาจ่อม ซึ่งการแปรรูปทั้ง 3 แบบจะไม่ได้ผลิตที่หมู่บ้านแล้ว เพราะในหมู่บ้านมีควันรถยนต์ ฝุ่นละออง ต้องคำนึงถึงเรื่องของความสะอาดเป็นหลัก แต่จะผลิตกลางอ่างเก็บน้ำโดยปลาซิวแก้วที่จับได้ช่วงหัวค่ำจะนำมาทำเป็นปลาร้า โดยการใส่เกลือหมักทิ้งไว้ ส่วนการทำปลาจ่อมนั้นจะใส่เกลือและกระเทียมหมักทิ้งไว้เหมือนการทำปลาร้า ส่วนปลาที่จับได้ค่อนแจ้งก็จะนำมาตากแดด 1 แดด บ่ายก็นำมาเก็บรักษาไว้ที่หมู่บ้าน สำหรับปลาซิวแก้วตากแดดจะมีห้องเย็นเก็บรักษาไว้ได้นาน
ปลาซิวแก้วจากระยะแรกขายปลาสดได้กิโลกรัมละ 4 บาท เมื่อพัฒนาขึ้นมาด้วยการแปรรูปสามารถขายได้กิโลกรัมละ 40 บาท ล่าสุดปลาซิวแก้วตากแดดที่เก็บรักษาไว้ได้นานปรับตัวสูงขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 200 บาท เนื่องจากจำนวนปลาในอ่างมีน้อยลง ซึ่งสวนทางกับความต้องการของผู้บริโภคที่มีมากขึ้นจากคำบอกกล่าวของผู้บริโภคแบบปากต่อปาก หลายบริษัทสั่งซื้อเข้ามาครั้งละหลายตันแต่กลุ่มไม่สามารถผลิตให้ได้เพราะจำกัดอยู่ที่จำนวนปลาที่มีน้อย
ปกติปลาจะขึ้นช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคมของทุกปี แต่ปลาซิวแก้วจะขยายพันธ์ตลอดปี แต่ก็ไม่ทำให้จำนวนปลาในอ่างเพิ่มขึ้นทันตามความต้องการของลูกค้า และมีข้อเสียอยู่อ่างคือ ปลาซิวแก้วไม่สามารถเพาะพันธุ์ได้ เนื่องจากตักขึ้นจากน้ำก็ตายแล้ว เหมือนสุภาษิตไทยที่ว่า “ใจเสาะเหมือนปลาซิว” แต่ทางกลุ่มกำลังหามาตรการเพิ่มจำนวนปลาคือ อาจจะต้องจับปีเว้นปีเพื่อให้ปลาขยายพันธุ์เองตามธรรมชาติได้อย่างเต็มที่
ประธานกลุ่มฯ บอกถึงรายได้ว่า กลุ่มจะรับซื้อปลาซิวแก้วจากชาวบ้านที่ทำประมง และจากสมาชิกในกลุ่มที่ทำประมงอยู่แล้ว จากนั้นก็นำมาแปรรูปเก็บรักษาไว้ในห้องเย็น จากนั้นก็นำออกมาจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยวและกลุ่มลูกค้าผู้บริโภคทั่วไป ส่วนกำไรที่ได้จากการขายก็จะหักเข้ากลุ่ม 20 % สิ้นปีก็นำมาปันผล อย่างไรก็ตามทุกวันนี้สมาชิกจะมีรายได้จากการจำหน่ายปลาซิวแก้เฉลี่ย 4,000-5,000 บาท แต่เป็นเพียงช่วงเวลา 6 เดือนเท่านั้นผลิตภัณฑ์จากปลาก็จะหมด เพราะเป็นที่ต้องการของลูกค้ามาก ส่วนอีก 6 เดือนก็จะทำประมงอย่างอื่นเฉลี่ยจะมีรายได้ไม่ต่างจาก 6 เดือดแรก
ถามว่ารายได้เฉลี่ยทั้งปีอย่างที่กล่าวมาพวกเราก็อยู่กันได้ แม้ทั้งหมู่บ้าน 110 หลังคาเรือนจะไม่มีอาชีพอย่างอื่นทำ เพราะไม่มีที่ดินทำกินก็ตาม แต่พวกเราก็ไม่มีรายจ่ายอย่างอื่นนอกจากค่าไฟฟ้า และของใช้ประจำวัน ส่วนอาหารการกินก็กินแบบธรรมชาติจากปลา ผักสวนครัว แต่ก็ไม่ทำให้เดือดร้อน แต่กลับมีความสุขแบบพอเพียง
นวลนิตย์ ทับทิมทอง ชาวบ้านท่าเรือและสมาชิกกลุ่มฯ บอกว่า กว่า 16 ปีแล้วที่ไม่มีอาชีพอื่น นอกจากขายปลาซิวแก้วตากแห้ง ปลาร้า ปลาจ่อม และปลาอื่น ๆอีกหลายชนิด ทำให้มีรายได้ทั้งปี เฉลี่ยเดือนละ 3,000-4,000 บาท ช่วงที่ขายได้ดีจะเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ สงกรานต์ที่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวมาก ส่วนนอกเทศกาลก็ขายได้แบบพออยู่ได้ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มากินปลา พักค้างคืนในแพอาหารที่บ้านท่าเรือ
“อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยสงเสริมการท่องเที่ยวบ้านท่าเรือให้มากกว่านี้ เพราะนานมากแล้วที่ไม่มีการส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยว ทั้งที่บ้านท่าเรือมีความพร้อมมากสำหรับการท่องเที่ยว หากหน่วยงานเอาจริงเอาจังกับการท่องเที่ยวเชื่อว่าหมู่บ้านประมงท่าเรือจะเข้มแข็งมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้” นางนวลนิตย์ กล่าว
ทรัพย์ในดินสินในน้ำ หากรู้จักใช้ก็ไม่มีวันหมด "ปลาซิวแก้ว" ของดีที่คนท่าปลาเขารู้จักใช้


