posttoday

ยูโรเปียนฯกลุ่มลีนุตพงษ์ ควบเปอโยต์-ซีตรอง

31 พฤษภาคม 2559

อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวในสถานการณ์ตลาดรถยนต์ระดับพรีเมียมที่น่าสนใจไม่น้อย

โดย...พลพัต สาเลยยกานนท์

ภายหลังที่ บริษัท ยูโรเปียน มอเตอร์ คาร์ ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์เปอโยต์ (Peugeot) ในประเทศไทย ได้รับการแต่งตั้งจาก พีเอสเอกรุ๊ป ประเทศฝรั่งเศส ให้เป็นผู้ดูแลบริการหลังการขายของรถยนต์ ซีตรอง (Citroën) ทุกรุ่นในประเทศไทย

เปอโยต์และซีตรอง อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของพีเอสเอกรุ๊ป (PSA Peugeot Citroën) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์และรถจักรยานยนต์สัญชาติฝรั่งเศส ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงปารีส พีเอสเอกรุ๊ปเป็นหนึ่งในบริษัทผลิตรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาคยุโรป มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 20% จากยอดขายรวมกว่า 2.9 ล้านคัน ใน 160 ประเทศทั่วโลก

กิจจาทร ลีนุตพงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริการหลังการขายบริษัท ยูโรเปียน มอเตอร์ คาร์ เปิดเผยกับ “โพสต์ทูเดย์” ถึงประเด็นดังกล่าวว่า ในช่วงแรกของการดำเนินงานบริษัท จะดูแลบริการหลังการขายและอะไหล่ทั้งหมดของซีตรองในประเทศไทย โดยใช้เงินลงทุนมูลค่า 10 ล้านบาท ปรับโฉมศูนย์จำหน่ายและบริการตามอัตลักษณ์องค์กรรูปแบบใหม่ พร้อมเพิ่มปริมาณช่องซ่อมเป็น 45 ช่องซ่อม จากเดิมมีจำนวน 35 ช่องซ่อม ในศูนย์จำหน่ายและบริการเปอโยต์จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ สำนักงานใหญ่รามคำแหง (สุขาภิบาล 3) ทองหล่อ และเชียงใหม่ ภายในปี 2559 และจะเริ่มลงทุนปรับรูปแบบใหม่ที่ศูนย์จำหน่ายและบริการที่หาดใหญ่ ในปี 2560

นอกจากนี้ ยังได้เตรียมความพร้อมในการฝึกอบรมช่างเทคนิคเพิ่มเติม และเตรียมความพร้อมด้านอุปกรณ์เครื่องมือที่ทันสมัยได้มาตรฐานที่กำหนด สามารถครอบคลุมการบริการหลังการขายทุกด้าน อาทิ การตรวจเช็กตามระยะทาง ดูแลการซ่อมเครื่องยนต์ ช่วงล่าง งานสีและตัวถัง

ปัจจุบันรถยนต์ซีตรองในตลาดประเทศไทย มีประมาณ 1,200-1,500 คัน เป็นผู้ใช้ที่อยู่ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ คิดเป็นสัดส่วน 60-70% โดยช่วงแรกลูกค้าซีตรองสามารถนำรถเข้ารับบริการตรวจเช็กสภาพ 29 รายการได้ฟรี ที่สำนักงานใหญ่รามคำแหง

“บริษัท ยูโรเปียน มอเตอร์ คาร์ ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์เปอโยต์ (Peugeot) ในประเทศไทย เป็นผู้ดูแลบริการหลังการขายของรถยนต์ที่ดูแลรับผิดชอบเปอโยต์ ประเทศไทยมาตลอด 44 ปี และหลังจากนี้ยังได้รับความไว้วางใจจากพีเอสเอกรุ๊ป ให้ดูแลบริการหลังการขายรถยนต์ซีตรองในประเทศไทยครั้งนี้ จึงถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความเชื่อถือของเปอโยต์ ประเทศไทย” กิจจาทร กล่าว

ขณะที่แผนการจำหน่ายรถยนต์ซีตรองในประเทศไทยหลังจากนี้ มองว่าภายในปี 2560-2561 จะสามารถเริ่มดำเนินการทำตลาดได้อย่างเป็นทางการ เนื่องจากรถยนต์ซีตรองรุ่นปัจจุบันที่วางจำหน่ายอยู่ในตลาดโลกขณะนี้ยังไม่เหมาะสมกับตลาดในประเทศไทย จึงได้อยู่ระหว่างการตั้งทีมการตลาด และการศึกษาตลาดด้านการวางแผนผลิตภัณฑ์ในช่วงปัจจุบัน

สำหรับ เปอโยต์ และซีตรอง เป็นแบรนด์ที่มีฐานลูกค้ากลุ่มเดียวกัน บริษัทจึงเล็งเห็นโอกาสในการทำการตลาดและการบริการหลังการขาย ซึ่งมองว่าการสร้างแบรนด์และความน่าเชื่อถือจะสามารถทำได้ง่าย เนื่องจากเป็นแบรนด์ที่อยู่ในตลาดต่างประเทศควบคู่กันมาอย่างยาวนาน รวมถึงมีแผนการจำหน่ายทั้ง 2 แบรนด์ในโชว์รูมเดียวกันในประเทศไทยเช่นเดียวกัน

กิจจาทร กล่าวว่า ยอดขายรถยนต์เปอโยต์ 4 เดือนแรกของปี 2559 อยู่ที่ 50 คัน เทียบเท่ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป้าหมายยอดขายทั้งปีอยู่ที่ 150 คัน เติบโตขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ที่ 100 คัน ซึ่งเป้าหมายที่เพิ่มขึ้นมาจากปีก่อน มาจากปัจจัยในช่วงไตรมาส 4 ปี 2559 มีแผนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดใหญ่รุ่นใหม่ จึงคาดว่าจะผลักดันยอดขายให้เติบโตขึ้นได้เมื่อเทียบกับปีก่อน

นอกจากนั้น บริษัทยังได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแม่ประเทศฝรั่งเศสด้านการจำหน่ายและการทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย (โปรโมชั่น) อาทิ การสนับสนุนอัตราดอกเบี้ย 0% การขยายระยะเวลารับประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์ โดยให้การสนับสนุนตามความต้องการรายบุคคลช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจได้ทันทีท่ามกลางสถานการณ์ในปัจจุบัน

รวมถึงบริษัทยังมีการปรับเปลี่ยนการนำเข้ารถยนต์จากเดิม นำเข้าจากประเทศฝรั่งเศสเป็นนำเข้าจากมาเลเซีย ที่จะได้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีในเขตการค้าเสรีอาเซียน (อาฟตา) ที่จะมีราคาถูกลงกว่า 30% เมื่อเทียบกับแหล่งการนำเข้าเดิม พร้อมกันนี้การนำเข้าจากมาเลเซียยังเป็นรุ่นที่ผลิตเฉพาะสำหรับในภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย

ทั้งนี้ เปอโยต์ได้รุกการทำการตลาดให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น ด้วยการจัดโรดโชว์และการทำโปรโมชั่น โดยใช้งบประมาณรวมมูลค่า 20 ล้านบาท เทียบเท่ากับปีก่อน แต่มีการปรับกลยุทธ์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 แบรนด์ที่จะนำเข้ามาทำตลาดควบคู่กันนั้น จะไม่มีการทับซ้อนไลน์ผลิตภัณฑ์กันอย่างแน่นอน โดยวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ของเปอโยต์ไว้โฟกัสในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็ก-ขนาดกลาง และกลุ่ม รถยนต์อเนกประสงค์ (เอสยูวี) ขณะที่ ซีตรอง โฟกัสในกลุ่มรถยนต์ไลฟ์สไตล์ ซึ่งมั่นใจว่าเมื่อทั้ง 2 แบรนด์ทำการตลาดอย่างจริงจังแล้ว จะสามารถทำให้ผู้ที่สนใจร่วมธุรกิจในการเป็นผู้แทนจำหน่าย (ดีลเลอร์) ซึ่งจะส่งผลดีต่อการขยายศูนย์จำหน่ายและบริการได้ในอนาคต

ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวในสถานการณ์ตลาดรถยนต์ระดับพรีเมียมที่น่าสนใจไม่น้อย ซึ่งน่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นด้านยอดขายของบริษัท ยูโรเปียน มอเตอร์ คาร์ เมื่อทั้งสองแบรนด์มารวมกันได้อยู่บ้าง หลังจากนี้คงต้องมาดูกันว่าจะคึกคักมากขึ้นแค่ไหน

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ