ท่องเที่ยวไทยทำไมไม่เอาถ่าน
“Low Carbon Tourism” เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นมาในเมืองไทยได้ระยะหนึ่งแล้ว เพื่อให้สอดคล้องกับเมืองคาร์บอนต่ำ (Low Carbon city)
โดย...กุลฉัตร ฉัตรกุล ณ อยุธยา
“Low Carbon Tourism” เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นมาในเมืองไทยได้ระยะหนึ่งแล้ว เพื่อให้สอดคล้องกับเมืองคาร์บอนต่ำ (Low Carbon city) และเศรษฐกิจแบบคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Economy) ซึ่งเป็นกลไกในการขับเคลื่อนวิถีชีวิตแนวใหม่ในขณะที่โลกกำลังเผชิญวิกฤตการณ์โลกร้อน อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นจากปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) หรือก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศที่มีปริมาณสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะกระบวนการเผาไหม้ต่างๆ จากการใช้ชีวิตของมวลมนุษย์ในโลก กระบวนการดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำจึงถูกเสนอเข้ามาเพื่อสร้างวิถีชีวิตใหม่เป็นเมืองคาร์บอนต่ำ และกำลังถูกเสนอขึ้นเป็น “การท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำ” ซึ่งต้องอาศัยกลไกการตลาดในการขับเคลื่อนเป็นการรณรงค์แคมเปญต่างๆ
วิถีชีวิตคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Lifestyle) คือ วิถีชีวิตที่ลดปริมาณคาร์บอน งดการเผาไหม้ทั้งในที่โล่งแจ้งและในครัวเรือน ลดการใช้สารก่อก๊าซเรือนกระจก พวกสเปรย์ต่างๆ เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่ายมีรายได้จากการดำรงชีพที่ไม่อาศัยคาร์บอนในการให้พลังงาน เช่น ไม่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการเคลื่อนย้ายคน สัตว์ สิ่งของ เน้นการเดิน ใช้รถจักรยาน ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ รถไฟฟ้าพลังงานลม ปั่นจักรยานสูบน้ำ การปรับตัวเข้ากับธรรมชาติได้ การท่องเที่ยวเป็นกลยุทธ์ในการให้ผู้คนได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับการท่องเที่ยว เพราะการไปเที่ยวทุกครั้งจะต้องสตาร์ทรถยนต์ แล้วขับไปจนถึงจุดหมาย จะต้องใช้บริการโรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร เช่าเรือยนต์ ใช้ไฟฟ้า ใช้น้ำมัน ใช้ก๊าซหุงต้ม ตลอดจนการทิ้งขยะตลอดเวลาอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งล้วนแต่ทำให้ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มสูงขึ้นทุกที จากตัวเลข 19.74 กิโลกรัม/คน/วัน และ 47,835 ตัน/ปี คืออัตราการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในบริเวณพื้นที่หมู่เกาะช้าง จ.ตราด
“Low Carbon Tourism” เป็นนวัตกรรมการท่องเที่ยวแนวใหม่ที่ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) ร่วมกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมนี (GIZ) จุดประกายให้เกิดขึ้น มีเป้าหมายเพื่อมุ่งสร้างความตระหนักในการลดการใช้พลังงาน อันจะนำไปสู่การลดปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน “Low Carbon Tourism” จึงเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนให้เกิดความยั่งยืน ต่อยอดจากแนวคิดจัดการท่องเที่ยวสร้างสรรค์ (Creative Tourism) ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญต่อทรัพยากรธรรมชาติในแง่ของการท่องเที่ยวในประเทศ เป็นแนวคิดการท่องเที่ยวที่บริสุทธิ์ เป็นธรรมชาติที่แท้จริงไร้การปรุงแต่งใดๆ (Real Natural)
การท่องเที่ยว Low Carbon สอดคล้องกับวิถีชีวิตแบบ Slowlife คือ ต้องมีนโยบายท่องเที่ยวโดยการลดการใช้พลังงาน หันมาเดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน หรือพายเรือ ลดการใช้เชื้อเพลิงคาร์บอนเป็นพลังงานเพื่อสัมผัสวิถีชีวิตชุมชนที่ได้ไปเยี่ยมเยียน ศึกษาหาความรู้จากธรรมชาติและใช้ชีวิตให้ช้าลง กินอยู่เรียบง่าย ส่วนด้านผู้ประกอบการก็จะต้องร่วมมือหันมาใช้เครื่องมือบริหารที่เป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อม เช่น การติดตั้งบ่อหมักก๊าซชีวภาพ หมุนเวียนขยะให้เป็นพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างชุมชนให้มีส่วนร่วม ตลอดจนกระบวนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 3R Reuse Reduce Recycle อย่างครบวงจร มุ่งสร้างให้ชุมชนมีความเข้มแข็งทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
การท่องเที่ยวแบบไม่เอาถ่านวันนี้ จึงกลายเป็นการท่องเที่ยวที่ “เอาถ่าน” เพราะสามารถทำให้วิถีชีวิตมนุษย์เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นทั้งผู้ให้ (ชุมชน) และผู้รับ (นักท่องเที่ยว) ได้ช่วยกันลด ละ เลิกการดื่ม กิน เที่ยวที่ทิ้งภาระให้สังคม แต่ช่วยอนุรักษ์สิ่งที่สวยงามที่ได้เสพไปให้หลงเหลือสิ่งดีงามแก่คนรุ่นหลังได้ชื่นชมบ้าง นับเป็นความภาคภูมิใจในการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นรูปธรรม
การท่องเที่ยวแบบ “Low Carbon Tourism” จึงเป็นทางเลือกที่ดีในการเก็บธรรมชาติที่สวยงามกับโลกสีเขียวใบนี้ให้คนรุ่นหลังต่อไป ซึ่งจะต้องอาศัยผู้คนที่มีแนวคิดและวิถีชีวิตที่คล้ายๆ กันช่วยผลักดันให้เกิดขึ้น


