ระบบการเงินสมัยใหม่ Modern Financial
โดย...ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการ ธนาคารออมสิน
โดย...ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการ ธนาคารออมสิน
สองสามปีที่ผ่านมา คำว่าเศรษฐกิจดิจิทัล Digital Economy เริ่มเข้ามาสู่สังคมไทย แต่ยังไม่เป็นที่เข้าใจนักว่าคืออะไร จนมาในปี 2558 เริ่มมีศัพท์ใหม่ e-Payment เข้ามาช่วยขยายความ ก็ทำให้คนเริ่มมองเห็นภาพโครงร่างของเศรษฐกิจดิจิทัลที่ชัดเจนมากขึ้น เพราะ e-Payment คือตัวจักรสำคัญที่จะทำให้เกิด Digital Economy ซึ่งถ้าเราพอจะจำกันได้ ภาครัฐได้เริ่มวางฐานของ Digital Economy ตั้งแต่หลายปีก่อน โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้เริ่มนำระบบ ICAS (Imaged Cheque Clearing and Archive System) หรือระบบการหักบัญชีเช็คด้วยภาพเช็คและระบบการจัดเก็บภาพเช็คมาใช้เมื่อปี 2554 (เริ่มใช้งาน 3 ก.พ. 2554) ซึ่งถือเป็นการวางฐานธุรกรรมทางการเงินที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาส่งเสริมและพัฒนาระบบการชำระเงินเป็นครั้งแรก
ดังนั้น นิยามอย่างง่ายที่สุดของ Digital Economy ก็คือ ระบบเศรษฐกิจที่ใช้เทคโนโลยีเป็นตัวจักรขับเคลื่อนและมีการหมุนเวียนของกระแสเงิน (สด) ในภาคธุรกิจที่รวดเร็ว จนทำให้เกิดความคล่องตัวทางเศรษฐกิจ ตลอดจนเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันให้กับประเทศได้
โลกการเงินสมัยใหม่จึงอยู่บน Platform ของการเชื่อมโยงทุกภาคส่วนด้วย Technology โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยง และคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งมีกลไกขับเคลื่อนสำคัญคือ ภาครัฐ ภาคธุรกิจและภาคธนาคาร และมีเป้าหมายอยู่ที่การสร้างสังคมไร้เงินสด Cashless Society ที่อำนวยประโยชน์ต่อคนไทยทุกกลุ่ม กล่าวให้เฉพาะเจาะจงลงไปอีก Cashless Society ไม่ใช่สังคมเสมือนเหมือนในโลกไซเบอร์ แต่เป็นสังคมจริง ธุรกรรมแท้ เพียงแต่ลดการพึ่งพาเงินสดลง
ดังนั้น กระบวนการทางการเงินจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนโดยมีการประสานร่วมมือกันทั้ง 3 ส่วน
เริ่มตั้งแต่ภาครัฐต้องสร้างบรรยากาศของการเข้าถึงระบบการเงินอย่างทั่วถึง ดังเช่นที่รัฐกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ คือการผลักดัน National e-Payment ด้วยการพัฒนาระบบ Any ID ที่ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงได้อย่างทั่วถึงในราคาที่เป็นธรรม การจ่ายภาษีผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของ 3 กรม (กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร) การนำ e-Payment มาใช้ในหน่วยงานภาครัฐ เป็นต้น
ส่วนภาคธุรกิจก็ต้องพัฒนาตัวเองให้ทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงและทันต่อความก้าวหน้าของเทคโนโลยี โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาเอื้อต่อธุรกิจในรูปแบบ Straight-Through Processing ตั้งแต่ e-Supply Chain e-Commerce, e-Marketing, e-Logistics, e-Invoice, e-Payment, e-Receipt, e-Tax
และภาคธนาคารก็ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจดิจิทัล พัฒนาช่องทางการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่สะดวกปลอดภัยให้เพิ่มมากขึ้น และขยายการติดตั้งเครื่องรับชำระผ่านบัตรให้เพิ่มขึ้นด้วย
ทั้งนี้ มีรายงานที่น่าสนใจว่า ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมาถึงปี 2558 ปริมาณการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ในทุกช่องทาง ทั้งเครื่องรับบัตร สมาร์ทโฟน ตู้เอทีเอ็ม และอินเทอร์เน็ต มีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยที่ 25.67% และถ้าแยกเป็นรายช่องทางแล้ว จะพบว่า ปริมาณการทำธุรกรรมการชำระเงินผ่าน Mobile Banking มีอัตราการเจริญเติบโตสูงที่สุดคือสูงถึง 124.57% ขณะที่ปริมาณการทำธุรกรรมการชำระเงินผ่านอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง มีอัตราการเจริญเติบโตที่ 7.11%
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ e-Payment เติบโต ก็มาจากการเจริญเติบโตของธุรกิจ e-Commerce/ m-Commerce พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสเทคโนโลยี และกระแสสังคมโลกที่กำลังพัฒนาเข้าสู่ Cashless Society รวมทั้งนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลของภาครัฐที่กล่าวไปแล้วข้างต้น โดยภูมิทัศน์ใหม่ของระบบการเงิน (Financial Landscape) จะมีผู้เล่นที่หลากหลายมากขึ้นไม่เฉพาะแต่สถาบันการเงิน แต่จะมี Non-Bank เข้ามาร่วมพัฒนารูปแบบการชำระเงินร่วมกัน และระบบการเงินสมัยใหม่ก็จะมีความเชื่อมโยงถึงกันหมด มีความหลากหลายของสื่อการชำระเงินและช่องทางการชำระเงินที่มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งสิ่งที่ประชาชนคนไทยเริ่มเห็นกันแล้ว คือบริการทางการเงินใหม่ๆ และผู้ให้บริการทางการเงินหน้าใหม่ที่ไม่ใช่ธนาคาร รวมทั้งธุรกิจการให้บริการรับชำระเงินแทน Payment Service Provider (PSP) ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโลกการเงินสมัยใหม่จะก้าวไปด้วยเทคโนโลยี แต่สิ่งที่ละเลยไม่ได้ก็คือการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชน เพื่อให้สามารถเลือกใช้บริการได้อย่างเหมาะสม รวมถึงเข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตนเอง ตลอดจนเข้าใจบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อคุ้มครองตนเอง โดยภาครัฐจะต้องทำหน้าที่กำกับดูแลและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนผู้ใช้บริการทางการเงินเพื่อให้โลกการเงินสมัยใหม่มีทั้งประสิทธิภาพและความปลอดภัย


