โลกเสี่ยงผันผวนหนัก เขย่าเซฟเฮเวนแกว่ง
โดย...ชญานิศ ส่งเสริมสวัสดิ์
โดย...ชญานิศ ส่งเสริมสวัสดิ์
ตลาดหุ้นจีนร่วงลงต่อเนื่อง 6.42% เมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา เช่นเดียวกับดัชนีเอ็มเอสซีไอเอเชีย-แปซิฟิก ที่ปรับตัวลงแล้วราว 15% แค่เพียงเปิดปี 2016 นี้มา ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐก็เจอแรงกดดันจากตลาดหุ้นเอเชียและหุ้นกลุ่มพลังงาน นำไปสู่ดัชนีเอ็มเอสซีไอทั่วโลกที่ปรับลงมากกว่า 20% แล้ว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
บ่อยครั้งที่เศรษฐกิจโลกเกิดความเสี่ยง นักลงทุนมักหันไปพึ่ง “เซฟเฮเวน” หรือสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความผันผวนน้อย เช่น ทองและค่าเงินเยน รวมไปถึงค่าเงินยูโรที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในระยะหลัง แต่ความผันผวนที่เกิดขึ้นทั่วโลก ก็ใช่ว่าเซฟเฮเวนจะปลอดภัยไปตลอด
ความตระหนกในตลาดทุนเริ่มต้นมาจากดัชนีซีเอสไอ 300 ของจีนที่ดิ่งลงแตะเซอร์กิตเบรกเกอร์ทันทีที่นำมาตรการดังกล่าวมาใช้ในการทำการวันแรกเมื่อวันที่ 4 ม.ค. นับตั้งแต่นั้นมา ด้วยความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงแรง จนทำให้นักลงทุนชื่อดังอย่าง จอร์จ โซรอส ออกมาบอกว่า อาจจะชะลอรุนแรงถึงขั้น “ฮาร์ดแลนดิ้ง”
เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลง ทำให้หลายประเทศที่พึ่งพาจีนในฐานะตลาดส่งออกขนาดใหญ่ต้องประสบกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวกันไปตามๆ กัน เช่น การส่งออกของญี่ปุ่นไปจีนปรับตัวลง 10.3% ในขณะที่เศรษฐกิจเกาหลีใต้ตลอดปี 2015 ขยายตัวเพียง 2.6% ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2012 โดยเกาหลีใต้ส่งออกไปจีนคิดเป็น 25% ของการส่งออกทั้งหมด
เช่นเดียวกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อื่นๆ ต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงดังกล่าว ส่งผลให้บรรดานักลงทุนต่างทิ้งพันธบัตรและหุ้นกู้ของตลาดเกิดใหม่ โดยจากข้อมูลธนาคารไอซีบีซี สแตนดาร์ด ระบุว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรและหุ้นกู้ขยับสูงขึ้นเป็น 7-9.99% ในขณะที่หุ้นกู้ที่มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้พุ่งไปแตะ 10%
ผลตอบแทนที่มากนี้เป็นสิ่งยั่วยวนนักลงทุนให้เข้ามาลงทุน แต่ก็หมายความว่าความเสี่ยงสูงด้วยเช่นเดียวกัน เพราะผลตอบแทนที่สูง หมายถึงรัฐบาลหรือเอกชนจะต้องใช้เงินมากขึ้นเมื่อถึงกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรที่มีการออกรวมเป็นมูลค่า 2.21 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 7.97 ล้านล้านบาท) ในรอบ 1 ปี นับถึงวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา มากกว่าช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 ที่ 2.13 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 7.68 ล้านล้านบาท) เสียอีก
แม้จีนจะพยายามอัดฉีดตลาดหลักทรัพย์ไปราว 1.6 ล้านล้านหยวน (ราว 8.48 ล้านล้านบาท) รวมถึงยกเลิกมาตรการเซอร์กิตเบรกเกอร์ที่เป็นปัจจัยให้นักลงทุนเกิดความตระหนก แต่ความกังวลต่อตลาดหลักทรัพย์จีนก็ยังคงอยู่
ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตร่วงลงไป 6.42% เมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา ท่ามกลางภาวะเงินทุนไหลออก ราคาพลังงานที่กลับไปตกลงอีกครั้ง และเพื่อรอท่าทีของธนาคารกลางอย่างธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ที่จะเปิดเผยผลการประชุมในสัปดาห์นี้
ตลาดกำลังจับตาอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐ ซึ่งอาจจะทำให้เฟดไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องในเดือน ม.ค.นี้ หลังราคาน้ำมันดิบทั้งตลาดไนเมกซ์และน้ำมันดิบเบรนต์ลดลงไปต่ำกว่าบาร์เรลละ 30 เหรียญสหรัฐอีกครั้ง โดยการราคาน้ำมันที่ถูกลงนั้น ก็เป็นปัจจัยกดดันหุ้นกลุ่มพลังงานให้ดัชนีดาวโจนส์ของสหรัฐร่วงลงไปมากกว่า 200 จุด ในการซื้อขายวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา
อาจเรียกได้ว่าราคาน้ำมันยังไม่เจอกับจุดต่ำสุด เพราะก่อนหน้านี้ช่วงที่ราคาน้ำมันดีดกลับขึ้นจากต่ำกว่า 27 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เป็นมากกว่า 32 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สำนักข่าวรอยเตอร์ส ระบุว่า เกิดจากการทำชอร์ตคัฟเวอริ่ง หรือ การซื้อสินทรัพย์คืนเมื่อราคาตกลง หลังจากก่อนหน้านี้ขายไปในราคาสูงกว่า ซึ่งแค่กระบวนการดังกล่าวเพียงกระบวนการเดียวก็เพียงพอต่อการดีดกลับของราคาน้ำมันแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยชั่วคราวอื่นๆ อย่างอากาศหนาวที่ทำให้ความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นเป็นระยะสั้นๆ
ความผันผวนดังกล่าวทำให้นักลงทุนหนีเข้าเซฟเฮเวนอย่างทองคำที่ราคาปรับตัวสูงขึ้นเป็น 1,115.08 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ มากที่สุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2015 โดยราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้ว 5% ตลอดทั้งปี 2016 ที่เพิ่งเริ่มต้นไม่ถึงเดือนนี้ ในขณะที่หุ้นของเอเชียแปซิฟิกปรับตัวลงแรง 11%
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำ (ลองโพสิชั่น) และออปชั่นปรับตัวขึ้นเป็น 1,934 สัญญา ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า จาก 902 สัญญา
ขณะเดียวกัน ค่าเงินเยนเองก็ขยับไปในทิศทางตรงกันข้ามกับตลาดหุ้น โดยเมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา ค่าเงินเยนปรับขึ้น 0.4% เป็น 117.83 เยน/เหรียญสหรัฐ และปรับขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร รวมถึงแข็งค่าขึ้น 0.8% เมื่อเทียบกับเหรียญออสเตรเลีย
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินเยนเทียบเหรียญสหรัฐและตลาดหุ้นโลกในรอบ 120 วัน มีค่าความสัมพันธ์อยู่ที่อยู่ที่ 0.71 เกือบจะสูงสุดทำสถิติใหม่ หมายความว่าค่าเงินเยนเทียบเหรียญสหรัฐนี้จะขยับตามการเคลื่อนไหวไปตามหลักทรัพย์
ยิ่งตลาดหลักทรัพย์ผันผวน ค่าเงินเยนก็จะแกว่งตามไปด้วย และเมื่อแนวโน้มความผันผวนมากขึ้นตาม คงไม่ตรงกับนิยามสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความผันผวนน้อยอีกต่อไปแล้ว
เช่นเดียวกับทองคำ ก่อนหน้านี้ตลอดปี 2015 ที่ผ่านมา ทองคำผันผวนหนักจากการตัดสินใจขึ้นหรือไม่ขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และภายหลังจากที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. ความต้องการทองคำก็น้อยลง โดยการเก็งราคาทองคำจะถูกลง (ชอร์ตโพสิชั่น) อยู่ที่ 24,263 สัญญา ซึ่งเป็นสถิติที่มากที่สุดเมื่อปลายปี 2015
ขณะเดียวกัน ราคาทองคำที่สูงขึ้นขณะนี้มาจากการเก็งว่าเฟดจะไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายหลังการประชุมรอบแรกของปี 2016 ในวันที่ 26-27 ม.ค.นี้ ซึ่งเป็นสาเหตุเดียวกับความผันผวนของราคาทองคำตลอด
ปี 2015
ตลาดทุนยังคงผันผวนตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกจนเซฟเฮเวนอาจไม่ได้ชื่อเป็นเซฟเฮเวนอีกต่อไป


