คุณรู้จักลูกน้องคุณ ดีแค่ไหน (ตอน 1)
ต่อเนื่องจากบทความในสัปดาห์ก่อน เมื่อเราเรียนรู้และเข้าใจตนเองแล้ว คำถามต่อไปคือเรารู้จักลูกน้อง หัวหน้า และเพื่อนร่วมงานของคุณดีพอหรือไม่ การทำงานร่วมกันหากเริ่มต้นจากความชอบ หรือแนวทางที่เหมือนกันก็จะส่งผลให้ทีมงานมีความสามัคคีกัน ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น และส่งผลให้ประสบความสำเร็จในที่สุด
ต่อเนื่องจากบทความในสัปดาห์ก่อน เมื่อเราเรียนรู้และเข้าใจตนเองแล้ว คำถามต่อไปคือเรารู้จักลูกน้อง หัวหน้า และเพื่อนร่วมงานของคุณดีพอหรือไม่ การทำงานร่วมกันหากเริ่มต้นจากความชอบ หรือแนวทางที่เหมือนกันก็จะส่งผลให้ทีมงานมีความสามัคคีกัน ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น และส่งผลให้ประสบความสำเร็จในที่สุด
ในฐานะเจ้านาย คุณรู้หรือไม่ว่าลูกน้องที่ใกล้ชิดเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือเรื่องส่วนตัว คุณเคยให้ความใส่ใจ สนใจในตัวเขาในฐานะคนคนหนึ่ง (ที่มีปัจจัยด้านอารมณ์ความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง) หรือไม่ เช่น สมาชิกในครอบครัว งานอดิเรกที่สนใจ สุขภาพร่างกาย วันสำคัญของเขา
สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เป็นการแสดงออกถึงความใส่ใจ ซึ่งทำให้ลูกน้องรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า เป็นที่สนใจของหัวหน้า ไม่ได้รู้สึกว่าโดนใช้งานเหมือนเครื่องจักรเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยของความผูกพันเข้ามาเกี่ยวข้องในการทำงานร่วมกัน
เจ้านายบางคนคิดไปเองว่าลูกน้องแมนๆ เตะบอล ไม่ได้ต้องการสิ่งเหล่านี้ นั่นเป็นข้ออ้างที่ใช้ในการหลอกตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องทำ แต่จากประสบการณ์ในการเป็นที่ปรึกษาทำงานกับหลากหลายองค์กร หลายประเภทธุรกิจ พบว่าไม่ว่าจะเป็นเพศไหน อายุเท่าไร ตำแหน่งไหน อาชีพอะไร กลุ่มธุรกิจใด ต่างก็รู้สึกดีเมื่อรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า บางคนแค่ “เจ้านายจำชื่อได้ผมก็ดีใจแล้ว” “แค่วันนี้ไม่โดนด่าก็ทำงานอย่างมีความสุขแล้ว”
ในองค์กรที่เคยร่วมงานที่ได้รับการคัดเลือกเป็นองค์กรธรรมาภิบาลดีเด่นแห่งชาติ ในทุกๆ ปีเมื่อเข้าไปพูดคุยกับพนักงานในองค์กรก็จะพบว่าปัจจัยหลักที่ทำให้พนักงานมีความสุขกับการทำงาน คือ หัวหน้าดูแล เอาใจใส่ หรือดูแลเหมือนคนในครอบครัว ซึ่งเป็นคำตอบที่คาดเดาได้ในทุกๆ ปี ซึ่งพนักงานก็พร้อมที่จะทุ่มเททำงาน และให้ใจกันอย่างเต็มที่
บางคนก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง (ส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ชาย) คิดว่าการแสดงออกถึงความใส่ใจเป็นเรื่องยาก คงต้องเริ่มจากการปรับทัศนคติกันก่อนว่าการแสดงออกถึงความห่วงใย ใส่ใจนั้นเป็นเรื่องปกติ (เหมือนๆ กับการแสดงออกต่อหน้าคนในครอบครัว หรือเพื่อนสนิท) จากนั้นก็ลองเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง แค่เริ่มจากการทักทาย กล่าวสวัสดี กล่าวขอบคุณ หรือแค่เริ่มจากการยิ้มให้ นั่นก็เป็นการแสดงถึงความสนใจแล้ว
การแสดงออกเหล่านี้เป็นสิ่งที่เจ้านายไม่ต้องการสังเกต การทำการบ้าน หรือการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย แต่ผลที่ได้กับลูกน้องนั้น นอกจากจะทำให้เขารู้สึกมีคุณค่าแล้ว ยังถือเป็นการเปิดใจ และเริ่มสร้างความผูกพันกับลูกน้องในการทำงานด้วย
จากนั้นเจ้านายก็ต้องอาศัยการสังเกตของตัวเอง และการพูดคุยด้วย ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าท่าทาง วิธีการทำงาน บุคลิกลักษณะ ความถนัด และความชื่นชอบของลูกน้อง ที่สำคัญหัวหน้าก็ต้องรู้จักการวิเคราะห์ตัวตนของลูกน้องด้วย เพื่อที่จะสามารถประมวลผลในการมอบหมายงาน วิธีการจูงใจ วิธีการในการทำงานร่วมกัน หรือวิธีการพัฒนาลูกน้องให้เหมาะสมด้วย ซึ่งลักษณะของคนแต่ละประเภทก็จะมีวิธีการจัดการบริหารที่แตกต่างกันไป ซึ่งจะกล่าวในบทความต่อไป
(อ่านต่อฉบับหน้า)


