ตราสารหนี้กับวิกฤตหนี้สาธารณะของยุโรป
....กร ดุรงคเวโรจน์
ผู้เขียนได้อ่านบทความเรื่อง
“Europeansovereign debt crisis and its broader implications” จากงานวิจัยของ Black Rock และเห็นว่ามีเนื้อหาที่น่าสนใจ จึงขอประมวลประเด็นต่างๆ มานำเสนอแก่ทุกท่านมาตรการช่วยเหลือทางการเงิน
เศรษฐกิจในปัจจุบันนั้นมีความผันผวนมาก ตัวแปรสำคัญคือปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรปและการลดความน่าเชื่อถือของกรีซและประเทศอื่นๆ ในอดีตช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กลุ่มประเทศ PIGS (โปรตุเกส อิตาลี กรีซ และสเปน) ขาดดุลการค้าต่อประเทศหลักทางเศรษฐกิจของยุโรป (เยอรมนีและฝรั่งเศส) เพิ่มขึ้นมาโดยตลอดทำให้ความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกลดน้อยลง หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ราคาตราสารหนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศ PIGS เกิดความผันผวน เพราะนักลงทุนตระหนักถึงความเสี่ยงในการจะได้รับชำระคืนของตราสารหนี้จากประเทศเหล่านี้ ทำให้เกิดการเทขายตราสารหนี้ครั้งใหญ่ กดดันให้ดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้น และลงท้ายด้วยการล้มเหลวของตลาด
ปัญหาดังกล่าวนั้นได้ถูกรองรับโดยมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจขนาดยักษ์จากธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank ; ECB) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund ; IMF) และสหภาพเศรษฐกิจและการเงิน (Economic and Monetary Union ; EMU) จำนวนประมาณ 7.5 ล้านล้านยูโร (ประมาณ 8% ของ GDP ยุโรป ซึ่งสูงกว่าการประมาณการโดยนักวิเคราะห์) และถึงแม้ว่าเงินช่วยเหลือที่ได้รับนั้นจะมากพอที่จะสนับสนุน กรีซ สเปน และโปรตุเกส และประเทศอื่นๆ ในยุโรปที่อาจจะประสบปัญหาเช่นเดียวกัน แต่เงินดังกล่าวจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาข้างต้นได้อย่างครบถ้วน ดังนั้นจึงจะต้องมีมาตรการอื่นๆ นำออกมาใช้ด้วย ตัวอย่างเช่น ประเทศกรีซจะต้องมีนโยบายการออมและการคลังที่เข้มงวดที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศที่พัฒนาแล้ว และก็อาจจะต้องลงเอยด้วยอัตราส่วนหนี้สินต่อ GDP ที่สูงมากขึ้น
การตกต่ำของตลาดตราสารหนี้ยุโรป
ปัญหาวิกฤตความน่าเชื่อถือของตลาดตราสารหนี้ของกลุ่มประเทศ PIGS ทำให้นโยบายการคลังต้องเพิ่มความเข้มงวดขึ้น ซึ่งเราได้เห็นแล้วในประเทศกรีซและไอร์แลนด์ (สเปน และโปรตุเกส ในอีกไม่ช้า) โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะทำให้การเติบโตของ GDP ของประเทศเหล่านี้ลดลง
แต่เนื่องจากกลุ่มประเทศ PIGS นั้นเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ของ GDP ยุโรป ดังนั้นผลกระทบต่อยุโรปโดยรวมจะไม่ย่ำแย่เท่า PIGS นอกจากนี้ยุโรปยังได้ปัจจัยสนับสนุนจากการอ่อนตัวของค่าเงินยูโร จากนโยบายการคลังที่เข้มงวดน้อยลง รวมทั้งจากอัตราดอกเบี้ยของตราสารหนี้ในประเทศหลักทางเศรษฐกิจของยุโรปที่ปรับตัวลดลงไปมาก จนทำให้อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของยุโรปลดลงจากก่อนหน้าวิกฤตเศรษฐกิจ สิ่งเหล่านี้นโยบายการคลังของยุโรปจะไม่เข้มงวดมากนัก และจะเป็นไปในทิศทางการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งน่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจของยุโรปเติบโตได้ดีในระดับหนึ่งจากการขับเคลื่อนโดยประเทศหลักทางเศรษฐกิจอย่างเยอรมนี
ความเสี่ยงที่อาจลุกลามจากมุมมองของสหรัฐ
ในปัจจุบันตลาดทั่วโลกได้ตระหนักถึงโอกาสในการเสียเสถียรภาพของยูโรโซน (และปัจจัยนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดของจีน) สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงจึงต้องเพิ่มอัตราผลตอบแทนเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาล และเพราะปัญหาทางเศรษฐกิจของยูโรโซนที่ยังดูคลุมเครือ นักลงทุนจึงเพิ่มความต้องการในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐทำให้ดอกเบี้ยของตราสารภาครัฐปรับตัวลดลง
เงินดอลลาร์สหรัฐจะได้รับผลประโยชน์จากสภาวะตลาดในขณะนี้ โดยค่าเงินยูโรจะยังคงตกอยู่ภายใต้ความกดดันต่อไป และแม้ในระยะยาวแนวโน้มของเสถียรภาพตลาดเงินยูโรจะยังไม่แน่นอน แต่ในระยะสั้น แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจ (โดยการซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาลของ ECB) ก็น่าจะช่วยให้สถานการณ์ของยุโรปเป็นไปในทางที่ดีขึ้น
สำหรับตราสารหนี้นั้น หนี้สาธารณะของสหรัฐจะยังได้รับผลพลอยได้จากปัญหาความน่าเชื่อถือที่ลดลงไปของกลุ่มยูโร ทำให้นักลงทุนมีความต้องการตราสารหนี้ของภาครัฐเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงอัตราดอกเบี้ยในระยะสั้นและเงินเฟ้อที่จะยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไป ทำให้ตราสารหนี้ของภาครัฐบาลสหรัฐยังถูกมองได้ว่า
“ปลอดภัย” ในการลงทุนตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)
ประเทศตลาดเกิดใหม่มีสถานการณ์ที่แตกต่างไปจากตลาดของประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะมีอัตราการเติบโตที่สูง และมีปัญหาในสถาบันการเงินที่น้อยกว่า แม้ตลาดจะไม่มีสภาพคล่องเท่ากับตลาดประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไป กระแสการลงทุนจากประเทศที่พัฒนาแล้วจะไหลเข้ามาสู่ตลาดใหม่มากขึ้นจากความต้องการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน และถึงแม้จะมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเงินในการซื้อขายตราสารหนี้ที่อยู่ในสกุลเงินของประเทศตลาดใหม่เหล่านี้ แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วก็ทำให้สกุลเงินของตลาดใหม่บางประเทศมีค่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นในระยะกลาง นักลงทุนจะเพิ่มการถือครองสกุลเงินของประเทศตลาดใหม่ในสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นกว่าในขณะนี้
การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง
ตราสารหนี้ภาครัฐยังคงถือว่าไร้ความเสี่ยงในการลงทุน ทำให้อัตราผลตอบแทนอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจะไม่เพียงพอต่อความต้องการของนักลงทุนส่วนใหญ่อีกต่อไป นักลงทุนจึงจะเปลี่ยนยุทธศาสตร์มาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้นเพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทน และการที่ภาครัฐให้การสนับสนุนต่อตลาดเงินจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการลงทุน อย่างไรก็ตาม สินทรัพย์ในขณะนี้ก็ได้ถูกซื้อขายใกล้ราคาที่มันควรจะเป็นแล้ว ความสามารถในการเลือกหลักทรัพย์ให้ถูกตัวจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในโลกของการลงทุนปัจจุบัน


