posttoday

เก็งกำไรค่าเงินบาท ง่ายๆ ทำได้จริง (1)

21 พฤศจิกายน 2558

“เงินบาทอ่อนๆ มาแล้วจ้า” ถ้านี่เป็นเสียงแม่ค้าที่เชิญชวนลูกค้ามาซื้อ “เงินบาท” เธออาจจะกลับบ้านมือเปล่า ขายไม่ได้สักบาท

โดย...สวลี ตันกุลรัตน์ [email protected]

“เงินบาทอ่อนๆ มาแล้วจ้า” ถ้านี่เป็นเสียงแม่ค้าที่เชิญชวนลูกค้ามาซื้อ “เงินบาท” เธออาจจะกลับบ้านมือเปล่า ขายไม่ได้สักบาท เพราะในเวลานี้ใครๆ ก็มองว่าค่าเงินบาทมีแนวโน้มจะอ่อนค่าลงไปอีกเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ

เหมือนกับที่นักเศรษฐศาสตร์ นักวิเคราะห์ ผู้บริหารบริษัทในภาคการเงิน ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าค่าเงินบาทยังคงอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่องจากปีนี้ โดยเฉพาะเมื่อธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือน ธ.ค.นี้ และปีหน้ายังมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้อีก

ถ้าเฟดขึ้นดอกเบี้ยมากและเร็วจะยิ่งทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าได้มากขึ้นและเร็วขึ้น เพราะนักลงทุนจะไหลกลับไปหาเงินเหรียญสหรัฐมากขึ้น

กอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย คาดว่า ปี 2559 เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าไปถึง 38 บาท/เหรียญสหรัฐ

ตรรก บุนนาค ประธานเจ้าหน้าที่ด้านโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ประเมินว่า ในปี 2559 ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 35.50-37.50 บาท/เหรียญสหรัฐ

กอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ แม้ว่าจะไม่บอก “ตัวเลขเป้าหมาย” แต่มองไปในทิศทางเดียวกัน คือ ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า พร้อมกับแนะนำให้ภาคธุรกิจที่มีค่าใช้จ่ายในรูปเงินเหรียญสหรัฐป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน

สมิทธ์ พนมยงค์ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ ก็เชื่อเช่นเดียวกันว่าค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงไปอีก และอาจจะลากยาวไปอีก 1-2 ปี หลังจากนี้

“นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าค่าเงินบาทปี 2559 จะอ่อนไปถึง 37-40 บาท/เหรียญสหรัฐ ซึ่งแต่ละค่ายอาจจะให้เป้าหมายค่าเงินบาทไว้ไม่เท่ากัน แต่ทั้งหมดมองไปในทิศทางอ่อนค่า และยังไม่เห็นใครคาดว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น” สมิทธ์ กล่าว

เพราะฉะนั้น การอ่อนค่าของเงินบาท จึงหมายความว่า คนที่มีเงินบาทนอนนิ่งๆ อยู่ในกระเป๋าอาจจะขาดทุนได้ ถ้านำไปแลกเป็นเงินเหรียญสหรัฐ แต่ในทางกลับกันถ้าเราเปลี่ยนมาถือเงินสกุลเหรียญสหรัฐ เราจะมีกำไรได้โดยไม่ต้องออกแรง

ดังนั้น เราจะไม่ซื้อเงินบาท แต่จะซื้อเงินเหรียญสหรัฐ

หลากช่องทางทำกำไร

จริงๆ แล้วการหากำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมีอยู่หลายวิธี โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ค่าเงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าแบบนี้

รวมทั้ง “วิธีที่ไม่ได้รับการรับรองจากทางการไทย” เช่น การเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยนโดยการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งในประเทศไทยมีนักลงทุนกลุ่มหนึ่งที่ชื่นชอบวิธีการนี้ แต่อาจจะ “ยากเกินไป” และ “น่าหวาดเสียวเกินไป” สำหรับคนธรรมดาๆ อย่างเรา

เพราะฉะนั้น เรามาลองหาอะไรที่ทำกำไรได้ง่ายๆ ใครๆ ก็ทำได้กันดีกว่า แต่ต้องเตือนกันไว้ก่อนว่าแต่ละวิธีมีข้อดีข้อด้อย และรูปแบบการลงทุนที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นก่อนจะเลือกปักหลักปลงใจกับวิธีการไหน อย่าลืมหาข้อมูลให้รอบด้านก่อน

- ซื้อธนบัตรสกุลเงินเหรียญสหรัฐมาเก็บไว้ แล้วเมื่อถึงเวลาที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าไปจนถึงระดับที่น่าพอใจก็ค่อยนำเงินเหรียญสหรัฐที่เก็บไว้ออกมาขาย

ข้อดี คือ ทำได้ง่าย แต่ข้อเสีย คือ ความปลอดภัย เพราะถ้าเก็บเงินจำนวนมากไว้กับตัวอาจจะกลายเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพได้ และการแลกเปลี่ยนเงินมีต้นทุน หรือส่วนต่างของราคารับซื้อกับราคาขายประมาณ 1-2%

- เปิดบัญชีเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศ หรือบัญชี FCD (Foreign Currency Deposit)

ข้อดี คือ ทำได้ง่าย และไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย แต่บัญชีประเภทนี้จะมีค่าธรรมเนียมสูง มีต้นทุนการแลกเปลี่ยนเงินและให้ดอกเบี้ยต่ำ

- เดินทางไปเปิดบัญชีในต่างประเทศด้วยตนเอง

ข้อดี คือ ทำได้ง่าย แต่เช่นเดียวกับบัญชี FCD คือ ดอกเบี้ยต่ำมาก แถมยังมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก และมีความเสี่ยงในการนำเงินออกนอกประเทศด้วย

- ซื้อทองคำมาเก็บไว้ เพราะราคาทองคำในประเทศจะปรับเพิ่มขึ้นถ้าค่าเงินบาทอ่อนค่าลง

ข้อดี คือ ทำได้ง่าย แต่ก็มีข้อเสีย (ซึ่งอาจจะเป็นข้อดีก็ได้ในบางกรณี) คือ ราคาทองคำมีความผันผวนและอาจจะปรับลดลง เพราะฉะนั้น แม้ว่าจะกำไรจากค่าเงิน แต่อาจจะขาดทุนจากราคาทองคำก็ได้

- ออกไปลงทุนต่างประเทศโดยตรง จะเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทไหนก็ได้ จะซื้อหุ้น ซื้ออสังหาริมทรัพย์เก็บไว้ก็ได้

ข้อดี คือ ทำได้ง่าย แต่อาจจะมีขั้นตอนยุ่งยาก ใช้เงินลงทุนสูง มีโอกาสขาดทุนจากราคาสินทรัพย์ หรือถ้ามีกำไรก็อาจจะเสียภาษีกำไรและดูแลยาก เพราะไกลหูไกลตา

- ลงทุนสินทรัพย์ต่างประเทศผ่านกองทุนรวม ที่ไม่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน เพราะมีโอกาสได้กำไรจากค่าเงินบวกกับกำไร (หรือขาดทุน) จากการลงทุน

ข้อดี คือ ทำได้ง่าย แต่ก็มีข้อเสียคล้ายกับการซื้อทองคำเก็บไว้ หรือซื้อสินทรัพย์โดยตรง คือ มีโอกาสขาดทุนจากราคาสินทรัพย์ ยกเว้นว่าเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำๆ เช่น ตราสารหนี้ระยะสั้น

แล้วเราจะมาเจาะลึกรายละเอียดของบางวิธีในตอนต่อไป

แค่ฝากเงินก็ได้กำไร

อย่างที่บอกไปแล้วว่า การฝากเงินไว้ในบัญชีเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศ หรือบัญชี FCD ทำได้ง่าย เพราะเพียงแค่พกบัตรประจำตัวประชาชนใบเดียวไปติดต่อที่ธนาคารพาณิชย์

ปัจจุบันธนาคารพาณิชย์แทบทุกแห่งจะมีบริการนี้สำหรับคนไทยที่อยู่ในประเทศไทย โดยไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีรายได้จากต่างประเทศ และไม่ต้องแสดงหลักฐานภาระหนี้เงินตราต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังเลือกฝากได้หลายสกุลเงิน แต่ในกรณีนี้แนะนำให้ฝากเป็นสกุลเงินเหรียญสหรัฐ

การเปิดบัญชีอาจจะมีเงื่อนไขบางอย่าง เช่น จำนวนเงินขั้นต่ำสำหรับการเปิดบัญชีครั้งแรก จำนวนเงินเฉลี่ยต่อเดือนที่จะต้องคงไว้ในบัญชี (ถ้าผิดเงื่อนไขนี้จะมีค่าปรับ) ซึ่งแต่ละแห่งจะกำหนดเงื่อนไขที่แตกต่างกัน

แต่ถ้าทำได้ตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนดไว้ทุกอย่าง เราก็สามารถเปิดบัญชีและรอลุ้นกำไรจากการฝากเงินได้เลย เช่น ถ้ามีเงิน 1 แสนเหรียญสหรัฐ ทุกๆ 1 บาท ที่ค่าเงินบาทอ่อนค่า เราจะกำไร 1 แสนบาท

นอกจากทำกำไรจากค่าเงินบาทแล้ว ยังสามารถป้องกันความเสี่ยงในกรณีที่มีภาระค่าใช้จ่ายเป็นเงินตราต่างประเทศ แต่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ

เช่น ค่าเทอมลูก 1 หมื่นเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ค่าเงินบาทวันนี้อยู่ที่ 35.90 บาท/เหรียญสหรัฐ เท่ากับต้องจ่ายเป็นเงินบาท 3.59 แสนบาท แต่ถ้าเราต้องไปจ่ายค่าเทอมในปลายปี 2559 อาจจะต้องควักเงินเพิ่มเป็น 3.7-3.9 แสนบาท แล้วแต่ว่าในเวลานั้นค่าเงินบาทอ่อนค่าไปถึงเท่าไร

แต่ที่แน่ๆ คือ ถ้าเงินบาทอ่อนค่าตามที่นักวิเคราะห์คาดไว้จริงๆ เราจะได้เห็นกำไรง่ายๆ

ข่าวล่าสุด

Samsung ผนึก Google Gemini เผยโฉมครัว AI สุดล้ำที่ CES 2026