ธปท.-กนง. (ตอนที่ 1)
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ต่างก็เป็นหน่วยงานอิสระที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลภาคการเงินของประเทศไทย ซึ่งล้วนแล้วแต่มีบุคลากรที่ทรงคุณวุฒิ และความน่าเชื่อถือมาแต่ไหนแต่ไร
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ต่างก็เป็นหน่วยงานอิสระที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลภาคการเงินของประเทศไทย ซึ่งล้วนแล้วแต่มีบุคลากรที่ทรงคุณวุฒิ และความน่าเชื่อถือมาแต่ไหนแต่ไร
หลังจากที่ประเทศไทยมีสัมพันธไมตรีและติดต่อค้าขายกับต่างชาติ โดยเฉพาะพวกตะวันตกมาตั้งแต่สมัยรัชการที่ 4 ได้มีความพยายามที่จะจัดตั้งธนาคารกลางขึ้นในประเทศไทยหลายครั้ง แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ จนมาสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ทางคณะราษฎรโดย ปรีดี พนมยงค์ (หลวงประดิษฐ์มนูธรรม) ได้เห็นถึงความจำเป็นในการจัดตั้งธนาคารชาติ เพื่อเป็นกลไกในการดำเนินเศรษฐกิจของประเทศ แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจำนวนหนึ่ง
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น จึงประกาศปิดสภาผู้แทนราษฎร ต่อมา พล.ต.หลวงพิบูลสงคราม ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี และได้แต่งตั้ง ปรีดี พนมยงค์ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ปรีดีจึงได้รื้อฟื้นเรื่องการจัดตั้งธนาคารชาติขึ้น โดยได้มอบหมายให้พระวรวงค์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย เป็นที่ปรึกษากระทรวงการคลัง รับผิดชอบในการร่างกฎหมายธนาคาร
จนในที่สุด พระราชบัญญัติจัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติไทยก็ได้ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2482 โดยมีวัตถุประสงค์ในการทำหน้าที่เกี่ยวกับธุรกิจธนาคารกลาง และบริหารเงินกู้ของรัฐบาล โดยสำนักงานธนาคารชาติไทยได้เริ่มปฏิบัติงานเมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2483 และได้ทำพิธีเปิดเป็นทางการในวันที่ 24 มิ.ย. 2483 ซึ่งเป็นวันชาติไทยในสมัยนั้น ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนฐานะของสำนักงานธนาคารชาติไทยให้เป็นธนาคารกลาง โดยพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 16 เม.ย. 2485 และได้ทำพิธีเปิดเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 2485 ซึ่งเป็นวันที่ 10 ธ.ค. 2485 ซึ่งเป็นวันรัฐธรรมนูญ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เริ่มดำเนินการ ณ อาคารที่ทำการเดิมของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ ถนนสี่พระยา โดยมีพระองค์เจ้าวิวัฒนไชยทรงดำรงตำแหน่งผู้ว่าการพระองค์แรก ต่อมาจึงได้ย้ายที่ทำการมาอยู่ ณ วังบางขุนพรหม ตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค. 2488
บทบาทหน้าที่ของ ธปท.ตาม พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 ที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2551 มีดังนี้ 1.ออกและจัดการธนบัตรของรัฐบาลและบัตรธนาคาร 2.กำหนดและดำเนินนโยบายการเงิน 3.บริหารจัดการสินทรัพย์ของ ธปท. 4.เป็นนายธนาคารและนายทะเบียนหลักทรัพย์ของรัฐบาล 5. เป็นนายธนาคารของสถาบันการเงิน 6.จัดตั้งหรือสนับสนุนระบบชำระเงิน 7.กำกับดูแลตรวจสอบสถาบันการเงิน 8.บริการจัดการอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา รวมทั้งบริการจัดการสินทรัพย์ในทุนสำรองเงินตราตามกฎหมายว่าด้วยเงินตรา 9.ควบคุมการแลกเปลี่ยนตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน
โดยประเทศไทยมีผู้ว่าการ ธปท. รวมแล้ว 21 ท่าน โดยมี พระบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย และเล้ง ศรีสมวงศ์ ที่ดำรงตำแหน่งท่านละ 2 สมัย แต่ละสมัยไม่ติดกัน ผู้ว่าการ ธปท. คนล่าสุดคือ วิรไท สันติประภพ ซึ่งเข้าดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2558 แทน ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ที่ได้หมดวาระลง คณะกรรมการ ธปท. ปัจจุบันมีจำนวน 12 ท่าน โดยมี อำพน กิตติอำพน เป็นประธานคณะกรรมการ และวิรไท สันติประภพ เป็นรองประธานกรรมการ
คณะกรรมการนโยบายการเงิน (Monetary Policy Committee) หรือ กนง. เป็นหนึ่งในคณะกรรมการหลักของ ธปท. ซึ่งรับผิดชอบด้านการกำหนดทิศทางของนโยบายการเงิน โดยทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ของ ธปท.อย่างใกล้ชิด ในการติดตามภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้การกำหนดทิศทางและนโยบายการเงิน กนง.จะพิจารณาจากข้อมูลต่างๆ ที่ ธปท.นำเสนอให้ทราบ จากนั้นจึงนำไปพิจารณาในที่ประชุม เพื่อกำหนดทิศทางนโยบานการเงินต่อไป โดย กนง.ที่คณะกรรมการ ธปท.แต่งตั้งขึ้น ประกอบด้วย ผู้บริหารระดับสูงของ ธปท. 3 ท่าน และผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก 4 ท่าน โดยมีผู้ว่าการ ธปท. เป็นประธาน และมีรองผู้ว่าการ ธปท. อีก 2 ท่าน ร่วมเป็นคณะกรรมการ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจะมีวาระดำรงตำแหน่งคราวละ 3 ปี และจะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 2 วาระไม่ได้
อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน
1.กำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินของประเทศ โดยคำนึงถึงแนวนโยบายแห่งรัฐ สภาวะเศรษฐกิจ และการเงินของประเทศ 2.กำหนดนโยบายการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราภายใต้ระบบการแลกเปลี่ยเงินตามกฎหมายว่าด้วยเงินตรา 3.กำหนดมาตรการที่จำเป็นเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายตามนโยบายข้อ 1, 2 และ 4.ติดตามการดำเนินงานของ ธปท. ตามข้อ 3 ให้เป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ โดยจะมีการจัดประชุมทุก 6 สัปดาห์โดยประมาณ (ปีละ 8 ครั้ง) เพื่อประเมินภาวะเศรษฐกิจและการเงิน รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่จะมีผลกระทบต่อแนวนโยบายการเงินที่เหมาะสม
(ที่มา : เว็บไซต์ของ ธปท.)


