วางแผนก่อนตาย ไม่ต้องจ่ายภาษีมรดก (2)
ก่อนจะไปดูวิธีจัดการกับภาษีมรดกแบบง่ายๆ และทำได้จริงๆ ตามคำแนะนำของ ธัญญะ ซื่อวาจา
โดย...สวลี ตันกุลรัตน์ [email protected]
ก่อนจะไปดูวิธีจัดการกับภาษีมรดกแบบง่ายๆ และทำได้จริงๆ ตามคำแนะนำของ ธัญญะ ซื่อวาจา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอ๊ดวานซ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต ขอไปทบทวนกันสักนิดก่อนว่า มีทรัพย์สิน 5 ประเภทที่ต้องนำมาคำนวณเป็นทรัพย์สินมรดกที่ต้องเสียภาษี ประกอบด้วยอะไรบ้าง
1.อสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน และบ้าน
2.หลักทรัพย์ตามกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เช่น หุ้น และหน่วยลงทุน
3.เงินฝากในบัญชีธนาคาร หรือเงินอื่นใดที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน
4.ยานพาหนะที่มีหลักฐานทางทะเบียน เช่น รถยนต์ เรือยนต์ และเฮลิคอปเตอร์
5.ทรัพย์สินทางการเงินที่กำหนดเพิ่มขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกา
และถ้าเรามีทรัพย์สิน 5 ประเภทนี้อยู่รวมกันเกิน 100 ล้านบาท ก็ต้องมองหาวิธีการบริหารจัดการกับทรัพย์สินที่จะกลายเป็นมรดกตกทอดไปยังทายาท เมื่อถึงวันที่เราจากไป เพราะทายาทที่ได้รับมรดกเกิน 100 ล้านบาทมีหน้าที่ต้องเสียภาษี
ถ้าคนที่ได้รับเป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดาน จะเสียในอัตรา 5% ของส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท แต่ถ้าเป็นคนอื่นจะเสียภาษีในอัตรา 10% ของส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท
แต่เราในฐานะ “เจ้ามรดก” สามารถแบ่งเบาภาระภาษีนี้ได้ ด้วยวิธีการต่อไปนี้
กระจายมรดก
สิ่งแรกที่ ธัญญะ แนะนำให้ทำสำหรับการวางแผนภาษีมรดก คือ การสำรวจทรัพย์สินและทำพินัยกรรม เพราะการทำพินัยกรรมเป็นการวางแผนภาษีที่ง่ายที่สุดและไม่มีต้นทุน
กรณี นาย ก. มีทรัพย์สินมรดก รวม 1,000 ล้านบาท และมีทายาทที่มีสิทธิรับมรดกอยู่ 5 คน คือ ภรรยา, พ่อ, แม่, และลูก 2 คน
ถ้า นาย ก. ไม่ทำพินัยกรรม ทายาทแต่ละคนจะได้รับมรดกคนละ 200 ล้านบาท
ในกรณีนี้ ทายาทของ นาย ก. จะต้องเสียภาษีการรับมรดกรวม 20 ล้านบาท โดยที่ภรรยาได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี แต่ พ่อ, แม่ และลูกทั้งสองคน จะต้องเสียภาษีคนละ 5 ล้านบาท (หรือ 5% ของส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท)
แต่ถ้า นาย ก. ทำพินัยกรรมเอาไว้ โดยการกระจายมรดกให้คนละ 100 ล้านบาท และส่วนที่เหลือยกให้ภรรยาทั้งหมด จะไม่มีใครต้องเสียภาษีการรับมรดก หรือจะเขียนพินัยกรรมยกให้ภรรยาเพียงคนเดียวก็ได้
เพราะฉะนั้น หากเรามีมรดกมูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาท สามารถวางแผนภาษี โดยการเขียนพินัยกรรมยกให้คู่สมรส เพราะไม่เสียภาษี หรือกระจายให้ลูกหลานคนละไม่เกิน 100 ล้านบาท ก็ไม่ต้องเสียภาษีเช่นกัน
ทยอยยกทรัพย์สินให้ลูก
หรือจะเลือกทยอยยกทรัพย์สินให้ลูกๆ (เฉพาะบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่รวมบุตรบุญธรรม) ตั้งแต่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ได้ โดยถ้าเป็นการโอนให้ก่อนวันที่ 1 ก.พ. 2559 สามารถโอนได้ไม่จำกัด โดยไม่เสียภาษี แต่นับจากวันที่ 1 ก.พ. 2559 จะได้รับยกเว้นภาษีเฉพาะการโอนไม่เกิน 20 ล้านบาท/ปีภาษี
ขณะที่การรับสังหาริมทรัพย์จากการให้โดยเสน่หาจากบุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส จะได้รับยกเว้นภาษีการให้หากไม่เกิน 20 ล้านบาท/ปีภาษี แต่ถ้าเป็นการให้โดยเสน่หาจากบุคคลอื่น จะได้รับยกเว้นภาษีเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 10 ล้านบาท/ปีภาษี
“พ่อแม่สามารถทยอยโอนทรัพย์สินให้ลูกหลานได้ปีละ 20 ล้านบาท ขณะที่ญาติผู้ใหญ่อื่นๆ สามารถทยอยโอนทรัพย์สินให้หลานๆ ได้ปีละ 10 ล้านบาท” ธัญญะ กล่าว
คนที่มีเงินได้จากการรับโอนอสังหาริมทรัพย์และการรับการให้จากกรณีข้างต้น มีสิทธิเลือกเสียภาษีในอัตรา 5% ของเงินได้ส่วนที่เกิน 10 ล้านบาท หรือ 20 ล้านบาท (ส่วนที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้) โดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีก
เพราะฉะนั้น ธัญญะ แนะนำว่า จะเลือกทยอยยกทรัพย์สินให้ลูกปีละไม่เกิน 20 ล้านบาทก็ได้ หรือจะยกให้เฉพาะส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท ปีละไม่เกิน 20 ล้านบาท ก็ได้ เพราะเมื่อถึงเวลาที่ต้องยกให้เป็นมรดกจะได้ไม่เกิน 100 ล้านบาท
แต่การยกทรัพย์สินให้ก่อน หลายคนก็อาจจะไม่สบายใจ เพราะกลัวว่าลูกหลานได้รับไปแล้วจะนำไปขาย หรือไม่ดูแล ซึ่ง ธัญญะ บอกว่า ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์เราสามารถป้องกันได้
เพราะหลังโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ลูกไปแล้ว ก็สามารถไป “จดสิทธิเก็บกิน” บนที่ดินนั้นได้ ซึ่งทำให้เรายังเป็นผู้รับประโยชน์จากที่ดินนั้นอยู่เช่นเดิม และลูกหลานไม่สามารถนำไปขายหรือทำประโยชน์อื่นได้ถ้าเราไม่ยินยอม (มีค่าจดทะเบียน+ค่าอากรแสตมป์ รวม 1% ของราคาประเมินเท่านั้น)
นอกจากนี้ อาจใช้วิธีการ “จดทะเบียนกรรมสิทธิ์ร่วมในอสังหาริมทรัพย์” โดยโอนที่ดินให้ทายาท แต่ระบุให้เรามีกรรมสิทธิ์ร่วมในการถือครองที่ดิน ซึ่งอาจจะเพียงแค่ 10% และที่เหลือ 90% ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของทายาท
ในกรณีนี้ ทายาทไม่สามารถโอนขายทรัพย์สินได้หากไม่ได้รับความยินยอม และเมื่อถึงเวลาที่ต้องรับเป็นทรัพย์มรดก ทายาทก็จะนำมาคำนวณภาษีมรดกเฉพาะทรัพย์สินส่วน 10% เท่านั้น
ทำประกันระบุผู้รับประโยชน์
ตามคำนิยามของ “ทรัพย์มรดก” คือ ทรัพย์สินของผู้ตาย ทรัพย์สินนั้นจึงต้องเป็นของผู้ตายอยู่แล้วในเวลาที่ถึงแก่ความตาย ดังนั้น ทรัพย์สินที่ได้มาเพราะความตายหรือหลังจากนั้นไปก็ไม่อาจนับได้ว่าเป็นทรัพย์สินของผู้ตาย จึงไม่เป็นมรดกของผู้ตาย
เช่น เงินบำนาญตกทอด ที่ทางราชการให้ในกรณีที่ข้าราชการถึงแก่ความตาย รวมทั้งเงินสินไหมทดแทนที่ได้รับจากการประกันชีวิต
เพราะฉะนั้น ถ้าทำประกันชีวิตโดยระบุให้ลูกหลานเป็นผู้รับประโยชน์ เงินสินไหมทดแทนกรณีที่เราเสียชีวิตก็ไม่เข้าข่ายต้องเสียภาษีมรดก
“ประกันแบบออมทรัพย์เหมาะสำหรับการวางแผนภาษีมรดก ส่งทอดทรัพย์สินให้ลูกหลาน และยังให้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ด้วย โดยแนะนำให้ซื้อแบบที่ชำระเบี้ยระยะสั้น หรือชำระก้อนใหญ่ และเมื่อครบอายุก็ซื้อต่อไปเรื่อยๆ” ธัญญะ กล่าว
นอกจากนี้ ธัญญะ ยังแนะนำว่า จะซื้อประกันชีวิตเฉพาะส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท ก็ได้ เช่น มีทรัพย์มรดก ที่เป็นหุ้นและเงินสดรวมกัน 130 ล้านบาท ถ้าเราส่งต่อทรัพย์สินจำนวนนี้ให้ลูกหลานหรือทายาท ที่ไม่ใช่คู่สมรส จะต้องนำส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท หรือ 30 ล้านบาท มาเสียภาษีอัตรา 5% เท่ากับ 1.5 ล้านบาท
แต่ถ้าเรานำ 30 ล้านบาทไปซื้อประกันชีวิต และเหลือให้เป็นทรัพย์มรดกเพียงแค่ 100 ล้านบาท เพียงเท่านี้ ทายาทก็ไม่ต้องรับภาระภาษี
แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ตาม ถ้าเราได้เตรียมตัวไว้อย่างดีแล้ว ก็น่าจะทำให้สบายใจทั้งคนให้และคนรับ


