มองโกลวันนี้
หลังจากมองโกลผ่านความรุ่งเรืองสูงสุดมาแล้ว จีนก็เข้าไปยึดมองโกเลียในสมัยราชวงศ์ชิง จากนั้นความเป็นมองโกลก็เริ่มมีภาพลักษณ์เปลี่ยนไปเมื่อวัฒนธรรมจากพระทิเบตเข้ามาในพื้นที่มองโกเลีย ทำให้ความเป็นทิเบตมาผสมอยู่ในชีวิตคนมองโกลในมองโกเลีย
หลังจากมองโกลผ่านความรุ่งเรืองสูงสุดมาแล้ว จีนก็เข้าไปยึดมองโกเลียในสมัยราชวงศ์ชิง จากนั้นความเป็นมองโกลก็เริ่มมีภาพลักษณ์เปลี่ยนไปเมื่อวัฒนธรรมจากพระทิเบตเข้ามาในพื้นที่มองโกเลีย ทำให้ความเป็นทิเบตมาผสมอยู่ในชีวิตคนมองโกลในมองโกเลีย
พอราชวงศ์ชิงของจีนล่มเพราะญี่ปุ่นเข้าแทรกแซง มองโกเลียก็ประกาศเอกราชจากจีน เบื้องหลังนั้นคือรัสเซียนำทหารเข้าไปช่วยมองโกเลียรบกู้เอกราช
รัสเซียช่วยมองโกเลียต่อเนื่องจนถึงสมัยโซเวียตและได้เข้ามาจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ในมองโกเลียขึ้นปกครองประเทศ
มองโกเลียรื้อวัดทิเบตทิ้งเกือบหมดประเทศ
หากจะถามหาว่าอะไรบ้างในมองโกลเลียวันนี้ที่ยังมีความยิ่งใหญ่ อย่างสมัยที่ “เจงกิสข่าน” เคยรวมเผ่าพันธุ์ไว้เมื่อ 800 ปีที่แล้ว
ไม่เหลืออะไรเท่าใดนัก ในเมื่อทุกวันนี้ภาษาเขียนของมองโกเลียยังใช้ตัวอักษร Cyrillic ของรัสเซีย เต้นบัลเลต์ที่รัสเซียสอนให้และก็กลั่นเหล้า Vodka แบบรัสเซียกิน
ตัวตนของมองโกลหายไปแล้วแทบหมดสิ้น
แต่ “เจงกิสข่าน” วีรบุรุษคนสำคัญยังติดอยู่ในห้วงสำนึกของคนมองโกเลียไม่เสื่อมคลาย มีรูป “เจงกิสข่าน” ติดอยู่ทั่วไปในประเทศมองโกเลีย นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ลบจากหัวใจพวกเขาไปไม่ได้
วันนี้ “เจงกิสข่าน” เป็นอะไรก็ได้ที่มีความหมายถึงความยอดเยี่ยม เป็นที่สุดของที่สุด...
“เจงกิสข่าน” เป็นชื่อยี่ห้อ Vodka เป็นชื่อร้านเนื้อย่าง เป็นชื่อสนามบิน ฯลฯ ผู้เขียนคิดว่าหากคนมองโกเลียคิดจะทำสินค้าหรือธุรกิจอะไรสักอย่าง แล้วนึกชื่ออะไรไม่ออก
ก็คงจะตั้งชื่อ “เจงกิสข่าน” เอาไว้ก่อน
ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าจักรวรรดิมองโกลที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเคยครอบครองพื้นที่จากชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกไปถึงแม่น้ำ Volga ได้สูญเสียตัวตนไปได้ขนาดนี้
ปลายสหัสวรรษที่แล้ว หนังสือพิมพ์ Washington Post ได้ยกย่องให้ “เจงกิสข่าน” เป็นบุคคลแห่งสหัสวรรษ...Genghis Khan–Man of the Millennium
คนทักกันตรึมว่า... ไปให้เครดิตกับฆาตกรที่เดินทางไปฆ่าคนเป็นล้านๆ ได้อย่างไร
เขาตอบมาว่า ในสมัยนั้นการฆ่ากันเพื่อสร้างพื้นที่สำหรับสร้างจักรวรรดิเป็นเรื่องปกติที่คนทุกเผ่าพันธุ์กระทำ
ไม่ผิดหรอกจอร์จ...
แต่ก็อย่าลืมนะว่า... ภาพจริงของ “เจงกิสข่าน” อาจไม่ใช่อย่างนั้นก็ได้ แต่ที่ดูโหดไปก็เป็นเพราะบันทึกเหล่านั้นส่วนใหญ่มาจากพวกที่สูญเสียให้กับมองโกล
มีบันทึกถ้อยคำของ “เจงกิสข่าน” ที่นักบริหารนำมาเอ่ยอ้างอยู่เนืองๆ เช่น “การรบให้ชนะต้องมีวิธีการที่หลากหลาย”
“การเอาชนะบนหลังม้านั้นไม่ยาก แต่การลงจากหลังม้าแล้วมาปกครองนั้นสิคือเรื่องยาก”
หรือสิ่งที่ Francis Bacon บอกว่า... “โลกต้องไม่ลืมสิ่งมีค่าที่มองโกลได้ทิ้งให้ยุโรป 3 อย่าง คือ...การพิมพ์ ดินปืน และเข็มทิศ ซึ่งเป็นสิ่งที่เปลี่ยนโลกไปตลอดกาล”
นั่นเป็นสิ่งที่บอกเราว่ายังมีเรื่องราวอีกหลายอย่างซ่อนอยู่ในความสำเร็จของพวกมองโกล พวกเขาไม่ได้บ้าเลือดเดินหน้าฆ่ามันอย่างเดียวหรอกนะคะ
แต่วันนี้... ความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิมองโกลเป็นตำนานไปแล้วจริงๆ
เหลือแต่รอยอดีตอันมีค่าให้เราได้ศึกษาและเรียนรู้


