โรงจำนำที่พึ่งคนจน
โดย...ชัตน์วรี ([email protected])
โดย...ชัตน์วรี ([email protected])
ในช่วงเปิดเทอมจะเห็นบรรยากาศโรงรับจำนำคึกคัก เพราะโรงรับจำนำถือว่าเป็นแหล่งเงินสำหรับผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเมื่อเดือดร้อนต้องการใช้เงินอย่างเร่งด่วนใช้เวลาไม่ถึง 10-15 นาที ก็แปลงสินทรัพย์เป็นเงินสดได้
โรงรับจำนำมีอยู่ 3 ประเภท ตามลักษณะของผู้ดำเนินงาน คือ 1.โรงรับจำนำที่ดำเนินการโดยเอกชน 2.โรงรับจำนำที่ดำเนินการโดยกรมประชาสงเคราะห์เรียกว่า สถานธนานุเคราะห์ 3.โรงรับจำนำที่ดำเนินการโดยเทศบาลหรือกรุงเทพมหานคร (กทม.) เรียกว่า สถานธนานุบาล
สำหรับทรัพย์ที่จะนำมาจำนำได้นั้นมีได้เกือบทุกอย่าง ทั้ง เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าแบรนด์เนม กระเป๋า นาฬิกา แม้แต่ ครกอ่างศิลา กางเกงยีนส์ มียี่ห้อ ก็มีค่านำมาจำนำได้ แต่ส่วนใหญ่กว่า 90% จะนำทองรูปพรรณมาจำนำ ซึ่งการรับจำนำสิ่งของประเภท ทอง นาก เงิน หรือทอง นาก เงิน ที่เป็นรูปพรรณจะจำนำได้รายละไม่เกิน 1 แสนบาท รวมทุกรายการแล้วไม่เกิน 5 แสนบาทต่อ 1 รายต่อ 1 วัน
กรณีทรัพย์หลุดจำนำ หากผู้จำนำขาดส่งดอกเบี้ย หรือไม่ไปไถ่ถอนคืนไว้เป็นเวลา 4 เดือน และ 30 วัน หรือประมาณ 5 เดือน ทรัพย์จำนำนั้นจะหลุดกลายเป็นสิทธิของโรงรับจำนำ
อัตราดอกเบี้ยการรับจำนำ กฎหมายกำหนดว่า
(1) เงินต้นไม่เกิน 2,000 บาท คิดดอกเบี้ย 2% ต่อเดือน
(2) เงินต้นส่วนที่เกิน 2,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย 1.25% ต่อเดือน
ส่วนใหญ่โรงรับจำนำของภาคเอกชนจะมีการคิดอัตราดอกเบี้ยกับลูกค้าตามที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่สำหรับโรงรับจำนำของรัฐจะมีการคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า ส่วนหนึ่งเป็นนโยบายของรัฐที่จะช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้น้อยและลดการกู้เงินนอกระบบ
ล่าสุด สำนักงานธนานุเคราะห์ (โรงรับจำนำของรัฐ) ได้ขยายระยะเวลาลดดอกเบี้ยจำนำ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้น้อยออกไปจนถึงวันที่ 30 ก.ย. 2559 โดยวงเงินจำนำเงินต้นไม่เกิน 5,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อเดือน เงินต้น 5,001-10,000 บาท คิดดอกเบี้ย 0.75% ต่อเดือน เงินต้น 10,001-20,000 บาท คิดดอกเบี้ย 1% ต่อเดือน เงินต้น 20,001-100,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย 1.25% ต่อเดือน
ปัจจุบันโรงรับจำนำมีการปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัยมากขึ้น และบางแห่งมีการเปลี่ยนการใช้นิ้วโป้งแปะหมึกพิมพ์เป็นการสแกนนิ้วแทนแล้ว


