posttoday

คราวด์ฟันดิ้ง ช่องทางกำไร ของคนใจกล้า (1)

17 ตุลาคม 2558

ยุคนี้น่าจะเป็นยุคที่ใครๆ ก็อยากจะเป็น “เจ้าของกิจการ” ใครๆ ก็พูดถึง “Startup” หรือกิจการที่เริ่มต้นจากคนเพียงไม่กี่คน

โดย...สวลี ตันกุลรัตน์ [email protected]

ยุคนี้น่าจะเป็นยุคที่ใครๆ ก็อยากจะเป็น “เจ้าของกิจการ” ใครๆ ก็พูดถึง “Startup” หรือกิจการที่เริ่มต้นจากคนเพียงไม่กี่คน เพราะไม่ใช่แค่เท่อย่างเดียว แต่มันหมายถึงรายได้และกำไรที่เติบโตได้แบบก้าวกระโดด

เหมือนกับที่ เอกสิทธิ์ เดี่ยววณิชย์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดรีม เมคเกอร์ คราวด์ฟันดิ้ง บอกว่า ธุรกิจ Startup ที่ประสบความสำเร็จสามารถเติบโตได้ปีละ 5-10 เท่า ได้ภายในเวลาเพียง 3-5 ปี

แต่หลายคนที่แม้จะอยากเป็น Startup แต่ก็ไม่รู้จะ Start แบบไหน ไม่รู้จะ Start อย่างไร เพราะไม่มี “ไอเดียเด็ด” อยู่ในหัวเลย แต่รู้อย่างเดียวว่า งานนี้ตกขบวนไม่ได้ เพราะนี่คือ “เมกะเทรนด์” ของโลกใบนี้

ในเมื่อเป็น Startup เองไม่ได้ ก็ขอให้ได้ “ร่วมหุ้น” เป็นส่วนหนึ่งของ Startup และได้กำไรแบบเดียวกันก็พอแล้ว

ถ้าอยากจะเป็น “หุ้นส่วน” กับการเริ่มต้นของธุรกิจเล็กๆ ที่มีอนาคตยิ่งใหญ่ ก็ต้องไปหาดูว่า คนกลุ่มนี้เขาอยู่ที่ไหน แล้วค่อยไปขอร่วมหุ้นกับเขา ซึ่งถ้าเราไม่ได้อยู่ในแวดวงสังคมเดียวกันก็คงจะยากที่จะไปตามหา

แต่อย่าลืมว่า นี่คือยุคดิจิทัล เพราะฉะนั้นเราสามารถหาทุกอย่างได้จากอินเทอร์เน็ต รวมถึงการระดมทุนกับ Startup เพราะพวกเขามักจะใช้ช่องทางออนไลน์ในการระดมทุนจากมวลชนคนทั่วไปอยู่แล้ว หรือเรียกว่า คราวด์ฟันดิ้ง (Crowdfunding)

หรือถ้าจะเรียกอย่างเป็นทางการตามคำจำกัดความของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คือ “การระดมทุนสาธารณะจากมวลชนผ่านช่องทางออนไลน์”

ตามหลักสากลแล้ว คราวด์ฟันดิ้ง มี 4 ประเภท คือ

1.การบริจาค (Donation) ซึ่งเป็นการรับบริจาคเงินจากคนทั่วไป เพราะฉะนั้นเราในฐานะคนบริจาคจะไม่คาดหวังผลตอบแทน ยกเว้นแต่จะได้สิทธิลดหย่อนภาษีถ้าเป็นการระดมทุนเพื่อการกุศล

2.การให้เงินเพื่อผลิตสินค้าหรือได้รับบริการเป็นรางวัลตอบแทน (Reward) หรือบางทีก็เรียกว่า Pre-paid เพราะเหมือนกับเราสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า เพราะกิจการนั้นจะนำเงินจากเราไปผลิตสินค้า โดยอาจจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ หรือผลงานเพลง ซึ่งนักลงทุนไม่ได้คาดหวังกำไรที่เป็นตัวเงิน นอกจากได้รับผลิตภัณฑ์ตามที่สัญญาไว้เท่านั้น

3.การให้เงินกู้ (Loan) รูปแบบง่ายๆ ที่มีมาแต่ดั้งเดิม เพียงแต่เปลี่ยนจากกู้เงินจากสถาบันการเงินมาเป็นการกู้เงินจากคนธรรมดาอย่างเราๆ เพราะกิจการที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มก่อตั้งอาจจะกู้เงินจากสถาบันการเงินยากสักหน่อย แต่สิ่งที่เราต้องการเหมือนกัน คือ ดอกเบี้ยจากการให้เงินกู้ (ซึ่งก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่า เราจะได้ดอกเบี้ยตามที่หวังไว้หรือไม่)

4.การร่วมลงทุน (Investment) สามารถทำได้ทั้งในรูปแบบของการร่วมหุ้นและออกตราสารหนี้ (Equity/Debt) การร่วมทุนแบบนี้ที่เราต้องการ เพราะเราคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุน ซึ่งอาจจะเป็นการจ่ายเงินปันผล ถ้าเป็นร่วมหุ้น คาดหวังดอกเบี้ย ถ้าเป็นการออกตราสารหนี้ รวมทั้งคาดหวังกำไรที่ได้จากการขายหุ้นในอนาคต

และถ้ากิจการที่เราไปร่วมลงทุนประสบความสำเร็จ ก็แน่นอนว่า เราจะ “เติบโตไปพร้อมกัน” ในฐานะผู้ถือหุ้น

แต่จะมี Startup สักกี่คนที่ประสบความสำเร็จ

แม้แต่ เจษฎา สุขทิศ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) อินฟินิติ ที่เป็นอีกหนึ่งคนที่มีโปรเจกต์ด้าน Fintech Startup (คำว่า Fintech มาจากคำว่า Finance กับ Technology) ยังยอมรับว่า มี Startup เพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่ไปรอด

แต่ เอกสิทธิ์ บอกว่า ถ้าเป็น Technology Startup จะมีน้อยกว่า 10% เท่านั้นที่จะไปรอดแบบตลอดรอดฝั่ง

“มือหนึ่งด้าน Technology Startup ในประเทศไทย เคยพูดไว้ว่า ใน 100 ทีมที่เกิดขึ้นมา จะมี 75% ที่ทีมแตก ทะเลาะกันเอง และอีก 20% ธุรกิจไปไม่รอด เพราะฉะนั้นจึงเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงมาก” เอกสิทธิ์ กล่าว

ก.ล.ต.จึงตั้งใจจะช่วย “จำกัดความเสี่ยง” ให้กับนักลงทุน โดยการออกหลักเกณฑ์สำหรับคราวด์ฟันดิ้ง ซึ่งในเบื้องต้นอาจจะให้นักลงทุนที่เป็นคนธรรมดาซื้อหุ้นของบริษัทเหล่านี้ได้ไม่เกิน 5 หมื่นบาท/1 บริษัท และรวมแล้วไม่เกิน 10 บริษัท/ปี แต่ตอนนี้หลักเกณฑ์นี้ยังไม่ออกและคาดว่าจะมีการเปลี่ยนไปบ้าง ซึ่งต้องติดตามตอนต่อไป

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ