‘เอส.เค.ลูบริแคนท์’ หวังขึ้นแท่นท็อป 10 โลก
โดย...พลพัต สาเลยยกานนท์
โดย...พลพัต สาเลยยกานนท์
ในโอกาสครบรอบ 20 ปีของ เอส.เค. ลูบริแคนท์ (SK Lubricant) ในเครือ เอส.เค. กรุ๊ป (SK Group) หรือเอส.เค. อินโนเวชั่น (SK Innovation) ผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเลียมอันดับ 2 ของโลก มีกำลังการผลิต 297 ล้านบาร์เรล/ปี เบส ออยล์ (Base Oil) 5 หมื่นบาร์เรล/วัน น้ำมันเครื่อง 2.5 แสนเมตริกตัน/ปี ซึ่งส่งออกกว่า 50 ประเทศทั่วโลก
“โพสต์ทูเดย์” ได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปกับบริษัท โอราโนส ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายน้ำมันเครื่องซิค (ZIC) ซึ่งเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์จากกลุ่มบริษัท เอส.เค. อินโนเวชั่น (SK Innovation) จากประเทศเกาหลีใต้ เพื่อเยี่ยมชมโรงกลั่นและสถานที่ผลิตน้ำมันเครื่องซิคเป็นครั้งแรก พร้อมได้สัมภาษณ์พิเศษ ยองโฮลี รองประธานบริษัท เอส.เค. ลูบริแคนท์ ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเครื่องอันดับ 1 ในเกาหลี
ทั้งนี้ เอส.เค. กรุ๊ป เป็นบริษัทที่มีขนาดธุรกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 57 ของโลก และมีขนาดธุรกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ในประเทศเกาหลี รองจากอันดับ 1 คือ ซัมซุง และอันดับ 2 คือ ฮุนได ซึ่งประกอบไปด้วย 5 ธุรกิจหลักด้วยกัน ได้แก่ 1.เอส.เค. เอนเนอร์ยี่ 2.เอส.เค. โกลบอล เคมีคอล 3.เอส.เค. ลูบริแคนท์ 4.เอส.เค. อินชอน ปิโตรเคมีคอล และ 5.เอส.เค. เทรดดิ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล พื้นที่ของโรงกลั่นทั้งหมดมีขนาด 8.26 ล้านตารางเมตร พร้อมศูนย์วิจัยและพัฒนาที่มีขนาด 5.8 แสนตารางเมตร ประกอบไปด้วย 50 ห้องทดลอง (แล็บ) และมีนักวิจัยมากกว่า 1,000 คน
ลี กล่าวว่า น้ำมันเครื่องซิคได้เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2538 และได้ทำการตลาดโดยวางตำแหน่งเป็นผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม ซึ่งสามารถครองยอดขายอันดับ 1 ในประเทศเกาหลีเป็นเวลา 17 ปีต่อเนื่อง จนกระทั่งได้ตั้งหน่วยธุรกิจ เอส.เค. ลูบริแคนท์ ขึ้นในปี 2552
นอกจากนี้ ในโอกาสครบรอบ 20 ปี การเปิดตัวน้ำมันเครื่องซิค จึงได้มีการรีแบรนด์ครั้งใหญ่สำหรับตลาดโลก ด้วยการปรับเปลี่ยนโลโก้ และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับ 3 เทรนด์ความต้องการน้ำมันเครื่องของโลกในปัจจุบัน ได้แก่ 1.ประสิทธิภาพความทนทาน 2.การลดมลภาวะ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ 3.การประหยัดเชื้อเพลิง
ขณะที่มีแผนการดำเนินธุรกิจระยะยาวด้วยการตั้งเป้าหมายขึ้นติดอันดับท็อป 10 ของผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำมันเครื่องของโลก ภายในปี 2563 จากปัจจุบันอยู่อันดับที่ 18 ของโลก ด้วยการตั้งเป้าหมายเติบโตเพิ่มขึ้น 4 เท่าจากปัจจุบัน หรือเติบโตขึ้น 10% ซึ่งส่งผลให้ทุกคนในบริษัทต้องทำงานหนักขึ้นอย่างน้อย 4 เท่าเช่นกัน โดยใช้การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตชั้นสูง และการสร้างแบรนด์ให้อยู่ในใจผู้บริโภค รวมถึง การสร้างความเชื่อมั่นและการเป็นผู้ซัพพลายน้ำมัน เบส ออยล์ กรุ๊ป 3 (Base Oil Group 3) หรือยูเบส (YUBASE) ลิขสิทธิ์เฉพาะของ เอส.เค.ลูบริแคนท์
นอกจากนั้น มีแผนการเพิ่มกำลังผลิตน้ำมัน เบส ออยล์ กรุ๊ป 3 ซึ่งเป็นน้ำมันพื้นฐานที่นำไปผลิตเป็นน้ำมันเครื่องมากขึ้นเป็น 17% จากกำลังการผลิตปัจจุบันที่อยู่ที่ 12% ของกำลังการผลิตรวม 3.8 หมื่นบาร์เรล/วัน จากทิศทางความต้องการน้ำมันชนิดดังกล่าวของโลกในปัจจุบันที่มีมากขึ้น
สำหรับการขยายตลาดมองว่ามีแนวโน้มในการก่อสร้างโรงงานผสมน้ำมันเครื่องในแถบทวีปยุโรปเพื่อลดต้นทุนการขนส่งในอนาคต รวมถึงมีแผนการขยายโรงผสมน้ำมันเครื่องในแถบภูมิภาคอาเซียน ซึ่งมองว่าการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) จะส่งผลให้ตลาดดังกล่าวนี้เติบโตขึ้นได้มาก ซึ่งบริษัทมองเห็นศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางของเออีซี ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาแผนการขยายโรงผสมน้ำมันเครื่องในภูมิภาคอาเซียน โดยมี 3 ประเทศที่น่าสนใจคือ ไทย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย
ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการส่งออก 55% ของกำลังการผลิต โดยส่งไปจำหน่ายในประเทศจีน 40% สหรัฐอเมริกา 30% ยุโรป 20% และอื่นๆ 10% ซึ่งบริษัทตั้งเป้าจะมีส่วนแบ่งตลาดในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 5% ภายในปี 2563 นั่นคือเป้าหมายของบริษัทแม่ในการขยายตลาดไปทั่วโลก ซึ่งต้องรอดูกันต่อไปว่าจะสามารถเดินได้ตามแผนหรือไม่


