posttoday

สหวิริยาสตีลอินดัสตรี อวสาน...ไอรอนแมน?

28 กันยายน 2558

โดย...เจียรนัย อุตะมะ

โดย...เจียรนัย อุตะมะ

เมื่อบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) ประกาศหยุดการดำเนินงานโรงถลุงเหล็กของบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี ยูเค (SSI UK) บริษัทย่อยที่อังกฤษเมื่อวันศุกร์ที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา เกิดคำถามฟ้าผ่าว่า ถึงกาลอวสานของไอออนแมนหรือไม่ คำตอบคือเป็นไปได้ ถ้า SSI เดินไปเพียงลำพัง ไม่มีเจ้าหนี้ที่ติดร่างแหไปด้วยช่วยสะสางปัญหา ด้วยการยอมเจ็บไปด้วยกัน

วิน วิริยประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SSI แถลงสรุป ความสั้นๆ ถ้าเปรียบเทียบเป็นข้อคิด ก็คือ “การหยุดดำเนินงานครั้งนี้เป็นการสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต” ให้ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยของ SSI ได้ดำรงอยู่ต่อไป เพราะ SSI UK ขาดทุนจากการดำเนินงานจึงต้องหยุดผลิตชั่วคราวเพื่อเจรจากับผู้มีส่วนได้เสีย ทั้งรัฐบาลอังกฤษ คู่ค้า และสหภาพแรงงาน

“จะมีการเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อยืดการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยที่จะถึงกำหนดชำระเดือน ก.ย.ปีนี้ออกไปถึงเดือน ธ.ค.จะปรับโครงสร้างทางการเงินในส่วนผู้ถือหุ้นของ SSI กลับมาเป็นบวกให้ทันงบปีนี้ โดย 1 ในวิธีนั้นคือการเพิ่มทุนให้นักลงทุนเฉพาะเจาะจง (พีพี) ไม่เกิน 1.6 หมื่นล้านหุ้น ทั้งนี้การเจรจากับผู้มีส่วนได้เสียที่อังกฤษคาดว่าจะรู้ผลสิ้นเดือนนี้ว่าจะขายกิจการหรือหยุดผลิตถาวร”

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส มองว่า เงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนเพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นสิ้นปีนี้กลับมาเป็นบวกได้

ดังนั้น จึงมีความเสี่ยงที่ SSI จะเข้าข่ายถูกเพิกถอนจากการเป็นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงต้นปีหน้า หากไม่มีมาตรการอื่นมาเพิ่มเติม

บล.เอเซีย พลัส คาดว่า ไตรมาส 3 ปีนี้ SSI จะมีผลขาดทุนไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท โดยแม้ธุรกิจเหล็กรีดร้อนในประเทศไทยจะมีแนวโน้มดีขึ้นจากการทยอยใช้วัตถุดิบเหล็กแท่งแบนต้นทุนแพงไปหมดแล้ว ทำให้คาดการณ์อัตรากำไรเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ในช่วง 24-26% เทียบกับที่ทำได้เพียง 6.5% ในไตรมาสก่อนหน้า

อย่างไรก็ตาม คาดว่า ไตรมาส 3 ปีนี้ SSI จะต้องแบกรับการขาดทุนของธุรกิจต้นน้ำคือโรงถลุงเหล็ก SSI UK อยู่ เนื่องจากราคาเหล็กได้ลดแรงจากความกังวลต่อเศรษฐกิจจีนและปริมาณผลผลิตที่ล้นตลาด จึงคาดว่าราคาขายเหล็กแผ่นของ SSI UK น่าจะปรับลงไม่ต่ำกว่า 10% กดดันให้ส่วนต่างราคาวัตถุดิบและราคาขายของเหล็กแผ่นไม่สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการผลิตได้

สำหรับการปิดโรงงาน SSI UK จะช่วยให้ SSI มีผลประกอบการดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีนี้เป็นต้นไป เนื่องจากหากนับเฉพาะธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนในไทยถือว่ายังมีโอกาสที่จะสามารถกลับมาทำกำไรได้ในกรณีที่ราคาเหล็กในตลาดโลกเริ่มฟื้นตัว แต่ส่วนผู้ถือหุ้นติดลบเป็นประเด็นหลักที่สร้างความกังวลให้ผู้มีส่วนได้เสีย

กลุ่มเจ้าหนี้รายใหญ่ที่ให้เงินกู้แก่ SSI UK คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ธนาคารกรุงไทย (KTB) และธนาคารทิสโก้ (TISCO) ได้เรียกให้ SSI UK ชำระหนี้ที่ค้างอยู่ตามเงื่อนไขการกู้เงิน แต่ฐานะการเงินปัจจุบัน SSI UK ไม่สามารถชำระหนี้ได้ เจ้าหนี้จึงให้ SSI ร่วมรับผิดชอบในการชำระหนี้ดังกล่าวในฐานะผู้ค้ำประกัน สำหรับวงเงินหนี้ 790 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 2.8 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทและเจ้าหนี้จะทำแผนปรับปรุงโครงสร้างทางการเงินและการบริหารจัดหารหนี้ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ผลการหยุดผลิตของ SSI UK ครั้งนี้จะไม่กระทบต่อการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนในประเทศ เพราะบริษัทมีความสามารถในการหาวัตถุดิบเหล็กแท่งแบนราคาถูกในตลาดได้ อย่างไรก็ตามครึ่งแรกปีนี้ SSI มียอดขายเพียง 35-40% ของยอดขายปกติที่เคยขายได้ แต่ครึ่งปีหลังน่าจะเพิ่มขึ้นตามการเดินหน้าของโครงการภาครัฐ

ผลการหยุดผลิตของ SSI UK และการที่ SSI ซึ่งขาดทุนมาตลอด จนส่วนผู้ถือหุ้นติดลบต้องมารับผิดชอบหนี้ค้ำประกันจากบริษัทย่อย และถึงขั้นปรับปรุงโครงสร้างทางการเงินกับเจ้าหนี้ อาจมีความเสี่ยงให้บริษัทนี้กรณีเลวร้ายสุดเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการ และฉุดกำไรเจ้าหนี้ให้ดิ่งลง เพราะตัดหนี้สูญไปด้วย

ยอดหนี้รวมของ SSI ที่มีกับเจ้าหนี้ธนาคารใหญ่ 3 ราย มูลค่ารวม 5 หมื่นล้านบาท เป็นหนี้ของ SCB 2.2 หมื่นล้านบาท KTB 2.2 หมื่นล้านบาท และ TISCO 4,400 ล้านบาทบาท

หนี้จำนวนดังกล่าวได้ถูกจัดชั้นให้เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ไปแล้ว ที่ทำให้ธนาคารทั้งสามแห่งต้องตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ธนาคารพยายามจัดการไม่ให้เกิดผลกระทบต่อกำไรสุทธิได้ไม่มาก แต่ความกังวลเรื่องคุณภาพสินทรัพย์ยังกดดันหุ้นเหล่านี้

อรนุช อภิศักดิ์ศิริกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ กล่าวว่า จะตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญอีก 1,400-1,500 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2558 เพื่อให้ครอบคลุมทั้งหมด ทั้งนี้หากคำนวณแล้วคิดเป็น 33% ของประมาณการกำไรสุทธิของทิสโก้ที่ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์สประเมินไว้ที่ 4,525 ล้านบาท

ญนน์ โภคทรัพย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCB กล่าวว่า เตรียมตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญกลุ่มSSIในไตรมาส3นี้ประมาณ 1-1.1หมื่นล้านบาทโดยจะขายเงินลงทุนในไตรมาสดังกล่าวและคาดว่าจะมีกำไรน 7,000-8,000 ล้านบาทที่จะสามารถลดผลกระทบที่มีต่อกำไรสุทธิของธนาคาร อันเนื่องมาจากการตั้งสำรองนี้ได้จำนวนหนึ่ง

วรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ KTB คาดว่า ต้องสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญกรณี SSI ในไตรมาส 3 ปีนี้ 9,000 ล้านบาท เพื่อให้ครอบคลุมหนี้ทั้งหมดจากก่อนหน้านี้ตั้งไปแล้ว 1.1-1.2 หมื่นล้านบาท แต่คาดว่าจะนำสำรองส่วนเกินมาใช้เพื่อให้หลังจากการกันสำรองแล้วสัดส่วนสำรองต่อเอ็นพีแอลของธนาคารอยู่ที่ 100% ซึ่งจะทำให้สำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ SSI ไตรมาส 3 อยู่ที่ 6,000 ล้านบาท และคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้จะลดลง 18.5% (หากตั้งสำรองเต็มโดยไม่นำสำรองส่วนเกินมาใช้จะลดลง 28% และทำให้เอ็นพีแอลจะเพิ่มเป็น 3.5% ก่อนรวม SSI อยู่ที่ 2.96% ของสินเชื่อรวม)

SSI ซื้อ SSI UK ปี 2554 หรือ 4 ปีก่อน เพราะเชื่อว่าการผลิตเหล็กแท่งแบนที่อังกฤษจะทำให้ SSI มีวัตถุดิบป้อนอย่างสม่ำเสมอและสามารถใช้กำลังการผลิตได้เต็มที่ 4 ล้านตัน/ปี จากก่อนหน้านั้นใช้เพียง 50% เมื่อซื้อได้แล้วมีการปรับปรุงโรงงานเพื่อให้กลับมาผลิตได้ในครึ่งแรกปี 2555 และมีการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่องจนมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยภาษีและค่าเสื่อมราคา (อีบิตดา) เป็นบวกในครึ่งหลังปี 2557

จนกระทั่งไตรมาส 4 ปี 2557 ราคาเหล็กเข้าสู่ภาวะขาลง เนื่องมาจากการอุดหนุนการส่งออกเหล็กของรัฐบาลจีน ค่าเงินสกุลรูเบิ้ลของรัสเซียที่ตกต่ำ รวมถึงเศรษฐกิจจีนและรัสเซียที่ชะลอตัว

ราคาเหล็กแท่งปัจจุบันลดลงกว่า 40% จากราคาเฉลี่ยสูงกว่า 500 เหรียญสหรัฐ/ตัน ในปี 2557 ในขณะที่โรงถลุงเหล็กสามารถลดต้นทุนการผลิตได้เพียง 30% ราคาเหล็กแท่งแบนได้ลดลงมากกว่าต้นทุนที่ลด ส่งผลให้อีบิตดาของธุรกิจโรงถลุงเหล็กกลับมาเป็นลบอีกครั้งในครึ่งแรกปีนี้

ฝันสูงสุดของ วิน รุ่นที่ 2 ของ วิริยะประไพกิจ ที่ต้องการมีโรงถลุงเหล็กและโรงงานผลิตเหล็กแท่งแบนของตัวเองเป็นวัตถุดิบในการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนในประเทศ เพื่อให้มีธุรกิจเหล็กครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนปลายน้ำ ไม่สามารถบรรลุด้วยการสร้างโรงงานในประเทศได้ ด้วยถูกคัดค้านเพราะเกรงจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จึงต้องไปซื้อโรงถลุงเหล็กที่อังกฤษด้วยมูลค่าเงินทุนสูงแล้วยังต้องเสียค่าขนส่งเข้ามาผลิตในประเทศจึงทำให้ต้นทุนแพง เมื่อเทียบกับเหล็กจากจีนและรัสเซียที่ราคาถูกกว่า จึงย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเอง เมื่อฝันนั้นเป็นไปได้ยาก จากเศรษฐกิจทั้งโลกไม่เอื้ออำนวย ที่ฉุดราคาสินค้าโภคภัณฑ์อย่างเหล็กดำดิ่ง

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ