"ตู่" ขีดเส้นฟ้องแพ่งข้าวจบปีนี้
“ประยุทธ์” สั่งฟ้องแพ่ง-อาญาข้าวเน่าต้องเสร็จในสิ้นปีนี้ พร้อมเร่งระบายสต๊อกข้าว
“ประยุทธ์” สั่งฟ้องแพ่ง-อาญาข้าวเน่าต้องเสร็จในสิ้นปีนี้ พร้อมเร่งระบายสต๊อกข้าว
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการให้กระทรวงการคลัง โดยคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง และกระทรวงพาณิชย์ เร่งรัดกระบวนการพิจารณากรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในสิ้นปีนี้ และให้รายงานนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ พิจารณาก่อนดำเนินการ
ทั้งนี้ นายกฯ ได้สั่งการให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และกระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการระบายข้าวในสต๊อกของรัฐบาลให้ออกสู่ตลาดโดยเร็ว แต่ไม่กระทบต่อราคาข้าวในปัจจุบัน
พล.อ.ประยุทธ์ ยังสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบการนำเข้าน้ำมันปาล์มผิดกฎหมายให้เสร็จใน 1 เดือน โดยให้ประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน
นางจินตนา ชัยยวรรณาการ ประธานคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า (บอร์ด อคส.) กล่าวว่า ขณะนี้คณะกรรมการชุดของกระทรวงการคลัง ที่มีหน้าที่พิจารณาฟ้องเรียกค่าเสียหายโครงการรับจำนำข้าวเปลือกในส่วนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ และคณะกรรมการชุดของกระทรวงพาณิชย์ ที่จะฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายกรณีทุจริตข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และพวก อยู่ระหว่างตั้งมติเกี่ยวกับมูลค่าความเสียหายที่จะต้องชดใช้ คาดว่าจะเสนอมูลค่าความเสียหายให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) พิจารณาในเดือน ก.ย.นี้
สำหรับการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกับเจ้าของโกดังและบริษัทเซอร์เวเยอร์ ซึ่งเป็นคู่สัญญากับ อคส. และต้องรับผิดชอบกรณีข้าวสารสต๊อกรัฐบาลเสียหายนั้น ตำรวจจะส่งผลสรุปการเก็บหลักฐานครบทุกโกดังในเดือน ก.ย.นี้ จากนั้นจะส่งหลักฐานไปให้อัยการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายต่อไป คาดว่ามูลค่าการฟ้องเรียกค่าเสียหายจะสูงกว่า 2 หมื่นล้านบาท
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า ยอดส่งออกข้าวไทยเดือน ม.ค.-ส.ค. 2558 มีปริมาณ 6.53 ล้านตัน ลดลง 17.65% มูลค่า 3,155 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 18.15% ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับการส่งออกข้าวของเวียดนาม อินเดีย และปากีสถานที่ลดลง
น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การส่งออกข้าวช่วงไตรมาส 2 ที่ลดลง เป็นเพราะผู้ซื้อชะลอการนำเข้าในปริมาณมาก เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ขณะที่ผู้นำเข้ารายใหญ่ เช่น ไนจีเรีย อินโดนีเซีย มุ่งใช้นโยบายพึ่งพาตัวเองมากขึ้น


